Give your dog a bone
Give your dog a bone
เรื่องเกี่ยวกับการเลี้ยงดูสุนัขอย่างง่ายๆ ให้มีอายุยืนยาวและประหยัดค่าอาหารตลอดจนรักษาสิ่งแวดล้อม
เมื่อ 30 ปีก่อน ไม่มีอาหารสำเร็จรูปชนิดเม็ด เราจะเลี้ยงดูสุนัขด้วยกระดูกและเศษอาหาร หรืออาหารอื่นๆที่หาได้ง่ายๆ ราคาถูกจากตลาดใกล้บ้าน สุนัขก็มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง และแทบไม่มีปัญหาเรื่องการเจ็บป่วย
เมื่อผู้เขียนเริ่มเลี้ยงสุนัข ด้วยอาหารสำเร็จรูป (ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยทำมาก่อน) ประมาณ 2 ปี ต่อมา สุนัขที่เคยสมบูรณ์แข็งแรงของผู้เขียน ก็เริ่มมีปัญหา แรกๆก้อเป็นเรื่องหยุมหยิม แต่ก็เห็นได้ไม่ช้าไม่นานก็ต้องมีปัญหาใหญ่ตามมาแน่นอน เริ่มด้วยเป็นโรคผิวหนัง, ตาแฉะ, ขนหยาบแข็ง, คันยุกยิกทั้งวัน, หูอักเสบ และต่อมทวารอักเสบ ขนเหม็นสาบ, ปากเหม็น, ฟันมีปัญหา, อึเหม็นมาก และมีพยาธิ จากนั้นต่อมาก็มีปัญหาผสมติดยาก และปัญหาเจริญเติบโตผิดปกติ
ก่อน นี้ผู้เขียนเป็นสัตวแพทย์ชนบท ซึ่งเราก็เลี้ยงสุนัขกันด้วยเนื้อกระต่าย กระดูกดิบๆ และอาหารเหลือที่เรากิน ในช่วงนั้น สุนัขของเราไม่เคยต้องถ่ายพยาธิหรือฉีดวัคซีนเลย การผสมก็ติดง่าย คลอดลูกง่าย และได้ลูกครอกใหญ่และแข็งแรงมาก
ในที่สุดก็พบว่าผู้คน ส่วนใหญ่ก็มีปัญหาประสบการณ์เดียวกันคือ พวกที่เลี้ยงสุนัขด้วยอาหารสำเร็จรูป สุนัขของพวกเขาก็จะมีปัญหามาก ส่วนพวกที่เลี้ยงสุนัขด้วยกระดูกและอาหารเหลือๆ สุนัขก็จะแข็งแรง
** ดังนั้นผู้เขียนจึงเปลี่ยนมาให้อาหารแบบธรรมชาติ คือ กระดูกติดเนื้อดิบๆเช่นเนื้อแกะ, ไก่, เศษอาหารเหลือ, เศษผักผลไม้, น้ำเกรวี่, ข้าว, มันบด, พาสต้า ฯลฯ บางครั้งก็มีไข่, ตับ, ไต, น้ำมันพืช, น้ำผึ้ง, บริวเวอร์ยีสต์, สาหร่ายทะเล, น้ำมันตับปลา และเสริมด้วยไวตามินบางชนิด หลังจากนั้นสุนัขของผู้เขียนเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อได้รับอาหารแบบธรรมชาติ คือไม่มีปัญหาผิวหนัง, ฟัน, ตา, การเจริญเติบโต, การผสมพันธุ์ และไม่มีพยาธิ อึก็ไม่มีกลิ่นเหม็น และปริมาณอึก็น้อย กลิ่นปากไม่มี ค่าใช้จ่ายลดลงอย่างมาก เพราะค่าอาหารถูกลงและไม่ต้องสิ้นเปลืองค่ายารักษาโรคและยาถ่ายพยาธิ ฯลฯ
ϖ วิธีเลี้ยงสุนัขที่ควรปฏิบัติ:
- ให้กระดุกติดเนื้อ (ดิบ) ประมาณ 60 %
- อีก 40% เป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่คนรับประทาน และควรเป็นอาหารสด (ที่ไม่ได้ทำให้สุข) เช่น ผักผลไม้สด, นม, โยเกิร์ต, ไข่ ฯลฯ
เราต้องมาเริ่มคิดกันใหม่ว่า สุนัขคือ อะไร???
1. สัตว์กินเนื้อ (Carnivore): สุนัขเป็นสัตว์ที่ชอบกินเนื้อสัตว์อื่น ตามปกติมันจะต้องกินเครื่องในก่อน แล้วก็กินเนื้อ, กระดูก, และส่วนอื่นๆ
¨ ดังนั้น ทุกส่วนของสุนัขที่กินเข้าไป จะสามารถสร้างสมดุลได้ในระบบการย่อยของตัวสุนัขเอง
2. สัตว์กินพืช (Vegetarian): หมาป่าและสุนัขประเภทอื่นๆก็เป็นสัตว์กินพืชด้วย เมื่อหมาป่าฆ่าสัตว์ได้มันจะกินส่วนกระเพาะและลำไส้ก่อนอวัยวะส่วนอื่นๆ ในกระเพาะมักจะมีพวกหญ้าต่างๆและส่วนพืชอยู่เต็ม ตามปกติหมาป่าและสุนัขทั่วๆไป มักจะชอบผลไม้สดสุกๆ มันจะกินเป็นประจำคราวละครั้งมากๆ โดยนอนเฝ้ารออยู่ใต้ต้นนั้นเลยที่เดียว
ใน ช่วงสงครามโลกฝั่งทวีปยุโรป ว่ากันว่าพวกสุนัขทั้งหลายรอดตาย และมีลูกมีหลานสืบต่อกันมาได้ ก็โดยอาศัยอาหารจากเครื่องในของพวกแกะ และฝูงปศุสัตว์นั้นเอง และสุขภาพของพวกมันก็ดีมากในช่วงนั้น
¨ ดังนั้นผลไม้และผักหญ้าต่างๆควรจะเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่จะช่วยสร้างสมดุลในระบบย่อยของสุนัขได้
- ผลไม้ โดยทั่วไปจะกินดีที่สุดตอนช่วงที่สุกงอมเต็มที่
- ผัก+หญ้า ก็ควรผ่านการเคี้ยวบดให้ระเอียดเหมือนอย่างในกระเพาะของสัตว์ ต่างๆนั่นเอง
3. พวกเก็บขยะ (Scavenger): ถ้าคุณทิ้งสุนัขไว้กับถังขยะ ตามลำพังก็จะได้เห็นว่ามันเป็นอย่างนั้นคือ
หมาป่า มักจะเป็นผู้เก็บกินซากที่เหลือทิ้งของบรรดาสัตว์ที่ถูกล่า หรือตายในป่า แม้แต่ซากสัตว์ที่เป็นโรคตาย
สุนัข กินอึด้วย ซึ่งอึเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีที่มีกรดไขมันและไวตามินที่ละลายในไขมันหลายตัว เช่น ไวตามิน K, B และแร่ธาตุต่างๆอีกมากมาย รวมถึงสาร แอนตี้ - ออกซิแดนซ์ และเอนไซม์ตลอดจนเส้นใยอื่นๆที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
สุนัขที่กินอาหารสำเร็จรูปหลายตัว เราอาจพบเห็นว่า สุนัขเหล่านั้นต้องกินอึกเพื่อช่วยให้คงความสมดุลและสมบูรณ์ขึ้น
¨ ดังนั้น ถ้าเราไม่อยากให้สุนัขของเรากินอึ เราต้องให้อาหารที่มีส่วนประกอบและแร่ธาตุที่มีคุณค่าทางอาหารแบบที่มีอยู่ ในมูลสัตว์ ให้สุนัขของเรากิน เช่น โยเกิร์ต, ผักสด, ไขมันไม่อิ่มตัว, บริวเวอร์ยีสต์, ข้าวกล้อง ฯลฯ
4. นักล่า (Hunter): สุนัขที่ชอบอาหารสดจากอวัยวะของเหยื่อ สุนัขจะกินทุกอย่างที่เคลื่อนไหว ตั้งแต่ยัง
เป็นลูกสุนัขก็จะเริ่มไล่จับ กินแมลง, มด, จิ้งจก หรือตัวอะไรที่คลานผ่านมา เมื่อโตขึ้น มันก็จะไลล่ากินสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
5. นักฉวยโอกาส (Opportunitist): เมื่อสุนัขหิว มันจะกินทุกอย่างที่พบเห็นว่าสามารถกินเป็นอาหารได้ พวกสุนัขที่ชอบรื้อถังขยะกิน จะแข็งแรงกว่า สุนัขที่เลี้ยงอย่างดีด้วยอาหารเม็ดชั้นยอด เพราะเศษอาหารในถังขยะส่วนใหญ่จะเป็นพวกเศษผัก ผลไม้ เปลือกผลไม้, เศษกระดูก, เนื้อ, เครื่องในที่ยังดิบๆ ซึ่งเป็นแหล่งอาหารชั้นดีของสุนัข
6. นักกินทุกอย่างที่ขวางหน้า (Omnivore): อาหารที่คุณใช้เลี้ยงสัตว์ทุกชนิดในโลกได้ ก็สามารถใช้เลี้ยงสุนัขได้ทั้งนั้น สุนัขเป็นสัตว์กินทุกอย่าง โดยมีพื้นฐานเป็นสัตว์กินเนื้อ มันจึงมีรูปร่างและฟันแบบนี้ ส่วนคนมีฟันและรูปร่างแบบสัตว์กินพืช แต่ทั้งคนและสุนัขต่างก็มีระบบอวัยวะภายในที่สามารถกินได้ทุกอย่างเหมือนกัน
**********************************************************
สรุปได้ว่า: จะเลี้ยงสุนัขให้แข็งแรงสมบูรณ์ตามธรรมชาตินั้นจะต้อง
- สุนัขต้องกินกระดก และเนื้อสัตว์ที่ยังดิบ
- สุนัขต้องกินเครื่องใน ตับไต ไส้พุงดิบๆ
- สุนัขต้องกินผักหญ้า กินผลไม้ (แบบที่ถูกย่อยแล้วในกระเพาะอาหารของสัตว์อื่น) ที่บดละเอียด
- สุนัขต้องกินมูลสัตว์ กินอ้วก กินรก กินเนื้อเน่า (ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะมีจุลินทรีย์ตัวเล็กๆ หรือเจิร์ม) ซึ่งในที่นี้เราใช้บริวเวอร์ยีสต์และโยเกิร์ตแทน
- สุนัขต้องกินอาหารสดและดิบ
- สุนัขสามารถปรับสมดุลในอาหารที่กินเข้าไปได้เองตามเวลาที่เหมาะสม จึงไม่จำเป็นต้องกินอาหารที่สมดุลทุกมื้อ
**********************************************************
*ข้อเสียของทำอาหารให้สุกแก่สุนัข*
• ทำลายวิตามินที่อยู่ในอาหาร โดยเฉพาะวิตามิน B และ C
• ทำลายเอนไซม์ – เนื้อเยื่อที่มีชีวิตต่างมีเอนไซม์ จำนวนมากมาย
เอมไซด์คือโปรตีนที่ทำหน้าที่ควบคุมปฏิกิริยาเคมีทั้งหมดในการดำรงชีพของสัตว์ และจะถูก ทำลาย โดยความร้อน
เอนไซม์ ที่อยู่ในอาหารดิบ จะช่วยทำหน้าที่ในการย่อยอาหารและช่วยยืดอายุ
• การทำลายเอนไซม์ ในอาหาร ทำให้ตับอ่อนต้องทำงานหนักเพราะต้องผลิตเอนไวม์เพื่อช่วยย่อยมากขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุของกสรป่วยหลายๆโรคในสุนัข รวมถึงโรคตับอ่อนพิการ, ตับอ่อนอักเสบ, และเบาหวาน และยังเกี่ยวโยงไปถึงการขาดสาร Zinc (สังกะสี) โดยเฉพาะอาหารเม็ดของสุนัขในปัจจุบันนี้
• เอนไซม์ในอาหารทั้งหมด จะถูกดูดซึมเข้าสู่เส้นเลือดทันที่ที่เข้าสู่ร่างกาย มันก็จะทำหน้าที่ช่วยชะลอหรือแม้แต่หยุดกระบวนการทำลายในร่างกาย หรือที่เรียกว่า “Cross-linking” ซึ่งหมายถึง การะบวนการทำลายเนื้อเยื่อที่ทำให้เกิดการแก่ตัว ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น, เส้นเลือดแดงแข็งเปราะ, และเป็นกลไกอีกอันหนึ่งที่ทำให้โมเลกุลในยีนส์ถูกทำลาย อันเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็งและการให้ลุกที่พิการ
• การทำอาหารสุนัขให้สุก คุณจะก่อปัญหาให้สุนัขของคุณในเรื่องกระบวนการแก่ตัว และปัญหาการผสมไม่ติด
• การทำอาหารให้สุกนี้ เป็นการทำลายกระบวนการชะลอการแก่ตามธรรมชาติ สิ่งที่ช่วยชะลอความแก่ มี่เรียกว่า แอนตี้ออกซิแดนท์ ซึ่งมีอยู่ในอาหารดิบ จะถูกทำลาย และทำให้เกิดโรคต่างๆตามมาเช่น มะเร้ง, โรคไต, โรคหัวใจ และข้อกระดูกอักเสบ ฯลฯ
• การทำอาหารให้สุก จะทำให้คุณค่าอาหารและปริมาณโปรตีนลดลง เป็นผลให้เกิดการสูญเสีย กรดอะมีโน 2 ชนิดคือ ไลซีน และเมธิโอนีน ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหาการเจริญเติบโต, ปัญหาเกี่ยวกับกระดูก, ผิวหนัง, การตั้งท้อง, การผลิตน้ำนมของแม่สุนัข, สุขภาพร่างกายอ่อนแอ และภูมิต้านทานที่ลดลง
• การทำอาหารให้สุก จะทำให้เกิดสิ่งแปลกปลอมในอาหาร เนื่องจากบรรดาสารอาหารหลัก เช่น ไขมัน โปรตีน คาร์โบไฮเดรท จะถูกแปรสภาพ โดยถ้ายิ่งสุกมาก ยิ่งแปรสภาพไปมาก ยิ่งเปลี่ยนแปรไปมาก ก็ยิ่งย่อยยากมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนในที่สุดร่างกายก็จะถือว่าโมเลกุลของสารอาหารที่เปลี่ยนไปนี้เป็นสารแปลก ปลอม
• ขาดการออกกำลังและการทำความสะอาดฟัน โดยสุนัขที่กินอาหารสำเร็จรูป จะไม่รู้จักการขบเคี้ยว ดึงทึ้ง กัดฉีกอาหาร เลยขาดการออกกำลังกายในการกิน และฟันก็ไม่มีการทำความสะอาดจากการเสียดสีของอาหารเวลาดึงทึ้งอาหารดิบ ทำให้เกิดการสะสมของเศษอาหารในปาก และเกิดแบคทีเรียที่เป็นพิษผ่านเข้าร่างกาย
สารอาหารต่างๆที่สำคัญต่อสุนัข
Omega 6 (Fatty Acids)
– พบในน้ำมันพืช, ไขมันสัตว์ จากไก่ เป็ด และหมู
– อาหารที่ขาดสารนี้ จะทำให้มีปัญหาโรคผิวหนัง, การให้ลูก และการเจริญเติบโต
– แหล่งสาร Omega 6 ที่พบได้อีกหลายอย่าง เช่นใน น้ำมันดอกทานตะวัน, น้ำมันถั่วเหลือง, น้ำมันข้าวโพด, น้ำมันเมล็ดฝ้าย, น้ำมันดอกคำฝอย (ซึ่งมีมากเป็น 1 ½ เท่าของน้ำมันชนิดอื่นๆ), น้ำมันถั่ว มี ประมาณ 1/3 ของน้ำมันดอกคำฝอย, น้ำมันลีนสีดและน้ำมันมะกอกประมาณ 1/5 และ 1/6 ตามลำดับ, น้ำมัน ไก่,หมู มีประมาณ 1/3 ของน้ำมันดอกคำฝอย
Omega 3
– ถ้าขาดสารนี้ จะมีปัญหาด้านประสาทและการมองเห็น (Nervous & Vision) และปัญหา ความสามารถในการเรียนรู้ของลูกสุนัข
1.) ในสัตว์เพศผู้ ต้องการสารนี้ เพื่อกระตุ้นความอุดมสมบูรณ์ของน้ำเชื้อ
2.) หมาป่า ได้รับสารพวกนี้จาก มันสมอง, ลุกตา, ไข่ดิบ, มูลสัตว์ และพืชที่ผ่านการบดย่อยแล้วในกระเพาะ อาหารของเหยื่อที่ถูกมันล่าได้
– แหล่งที่มาของสารนี้หาได้ง่ายที่สุดคือ เนื้อปลาสด และน้ำมันปลา
– ** อาหารสุนัขสำเร็จรูป หรืออาหารที่ปรุงเองโดยขาดความรู้ ความเข้าใจมักจะขาดสารตัวนี้ นั่นเป็นสาเหตุให้สุนัขในสมัยนี้มีปัญหาเรื่อง ภูมิแพ้ต่างๆ มากมาย ทำให้เป็นโรคผิวหนัง, โรคข้อกระดูกฯลฯ
– อาหารจากพืชที่กล่าวมาข้างต้นนี้ เมื่อกลั่นเป็นน้ำมันแล้วจะมีสาร Omega 3 ค่อนข้างสูง
1.) นอกจากนี้ยังมี ข้าวโอ๊ต, เห็ด , ถั่วอบ, ผักขม, กล้วย
– อาหารจากสัตว์ ที่มีสารนี้มาก คือ พวกตับแกะ และกระต่าย, เนื้อวัวไม่ติดมัน จะมีสารเหล่านี้มากกว่าเนื้อไก่
– น้ำมันตับปลา ไม่ควรใช้เป็นแหล่งสาร Omega 3 เพราะจะเสี่ยงต่อการได้รับวิตามิน A และ D มากเกินไป
วิธีการให้อาหารที่มีสาร Omega 6 และ Omega 3:- ให้อาหารจำพวก
1. เนื้อดิบ, กระดูกไก่, ไข่, มันสมอง, ตับแกะหรือกระต่าย, ผักใบเขียว, ข้าวโอ๊ต, เห็ด, ถั่วอบ, ผักขม และกล้วย โดยให้พร้อมน้ำมันพืชที่กล่าวมาข้างต้น
2. สำหรับน้ำมันพืช: น้ำมันข้าวโพด และน้ำมันถั่วเหลืองให้สารทั้ง 2 อย่างใน ปริมาณที่สมดุลที่สุด
ความสำคัญของวิตามิน E
วิตามิน E จะช่วยไม่ให้เกิดการบูดเสียหรือเหม็นหืนของน้ำมันพืชที่เราให้สุนัขรับ ประทาน เพื่อสาร Omega ทั้ง 2 โดยน้ำมันที่คุณใช้เป็นอาหารสุนัข ต้องเก็บไว้ในขวดที่มีฝาปิดสนิท อากาศไม่สามารถเข้าไปได้ โดยเก็บไว้ในที่มืด จะรักษาคูณภาพได้ดีที่สุด และไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะนำน้ำมันที่ใช้แล้วมาให้สุนัขกิน ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อสุนัขเป็นอย่างมาก
***เพราะฉะนั้น ทางที่ปลอดภัยที่สุดคือให้ไขมันดิบ (แข็ง) เช่นไขมันหมู, ไขมันวัว, ไขมันไก่
โปรตีน
โปรตีนและไขมัน นอกจากจะเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญแล้วยังทำหน้าที่สร้างเสริมโครงสร้างพื้น ฐานของร่างกาย เราจึงจำเป็นต้องให้อาหารทีมีโปรตีนสูงขึ้นในช่วงกำลังเจริญเติบโต มากกว่าช่วงที่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว ซึ่งเป็นช่วงสุนัขหยุดการเจริญเติบโตแล้ว ยกเว้น เมื่อสุนัขกำลังตั้งท้องและเมื่อแม่สุนัขกำลังอยู่ในช่วงกำลังให้นม
โปรตีน มีวิธีการทำงานเช่นเดียวกับโมเลกุลที่สำคัญคือ
*** เอนไซม์ เป็นโมเลกุลที่พบในทุกเซล ทุกส่วนของร่างกาย มีหน้าที่ทำให้กระบวนการปฏิกิริยาเคมีพื้นฐานในร่างกายดำเนินไปได้อย่างถุก ต้องตามขั้นตอยที่ควรเป็นไปตามปกติ
ไขมัน ที่ประกอบด้วยกรดไขมันสำคัญที่ร่างกายต้องการ สุนัขจึงต้องได้รับอาหารประเภทนี้พร้อมกับโปรตีน
โปรตีน เป็นโมเลกุลขนาดใหญ่ ที่ประกอบด้วย กรด อะมิโน นับพันซึ่งในจำนวนเหล่านั้นมีกรด อะมีโน ที่มีความสำคัญต่อร่างกายมาก ซึ่งร่างกายของสุนัขไม่สามารถผลิตได้เอง ดังนั้นจึงมีความสำคัญมากที่จะต้องให้อาหารที่มีสมดุลถูกต้องของกรดอะมิโน ไม่ใช่ให้แต่อาหารที่มีปริมาณโปรตีนสูงเพียงอย่างเดียว
คุณภาพของโปรตีน:- ประกอบด้วยคุณลักษณะสำคัญ 2 อย่างคือ
1. การมีหรือไม่มี กรดอะมิโนที่สำคัญ
2. ความสามารถในการถูกย่อยและถูกดูดซึม ได้ดีแค่ไหน
**ตัวอย่าง ง่ายๆของโปรตีนคุณภาพต่ำ คือโปรตีนที่อยู่ในอาหารสำเร็จรูปและอาหารที่ทำจากธัญพืชอย่างเดียว ซึ่งขาดทั้ง อะมิโนที่สำคัญ และทั้งยังย่อยยากด้วย
โปรตีนคุณภาพดี จะพบในอาหารหลายอย่าง เช่น เนื้อ ไข่ เนยแข็ง และนม และทำให้สมดุลด้วยธัญพืชเช่น ถั่วอบ
การ ขาดโปรตีน มีผลให้การเจริญเติบโตไม่ดีเท่าทีควร, ผสมไม่ติด, โลหิตจาง, ขนไม่ดี, กล้ามเนื้ออ่อนแอ, ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง, การเจริญเติบโตของกระดูกและโครงสร้างไม่ถูกต้องจะเห็นได้ชัดในลูกสุนัขที่ กำลังเติบโตและกินอาหารสำเร็จรูปคุณภาพต่ำ
สุนัขในสมัยนี้ที่กินอาหารสำเร็จรูป จะมีปัญหาโปรตีนสูงและสะสมในร่างกาย เพราะกินอาหารเหมือนกันทุกมื้อ ไม่มีการปรับสมดุล ดังนั้นควรให้อาหารสุนัขในแต่ละมื้อแตกต่างกันไป โดยบางมื้อให้โปรตีนต่ำ เพื่อให้ไตได้พัก
โปรตีนเท่าไรที่สุนัขต้องการ?
1. ถ้าโปรตีนคุณภาพสูง สุนัขที่กำลังเติบโตต้องการประมาณ 18 % ก็เพียงพอ
2. สุนัขที่ไม่ได้ใช้ทำพันธุ์ ต้องการเพียง 8-10%
** สุนัขที่โตเต็มที่แล้ว หากได้รับโปรตีนสูง จากอาหารสำเร็จรูป ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ จะมีปัญหาเรื่องไต
***โปรตีนคุณภาพดีมาก พบได้ใน ไข่, คอทเททชีส และเนื้อไม่ติดมัน
โปรตีนที่ใช้ทำอาหารสำเร็จรูปมักใช้พืชเป็นแหล่งโปรตีน ซึ่งจะต้องใช้จำนวนโปนตีนมากกว่าปกติ ถึงประมาณ 4 เท่าของปริมาณโปรตีนที่สุนัขต้องการ ซึ่งสำหรับสุนัขที่กำลังเจริญเติบโต มักไม่มีปัญหา แต่สำหรับสุนัขโต ที่กินอาหารที่มีโปรตีนระดับสูงขนาดนี้มานานๆ ไตจะถูกทำลาย จึงต้องควบคุมโดยให้อาหารโปรตีนต่ำ
– สุนัขแก่ ควรให้อาหารปริมาณน้อยที่มีโปรตีนคุณภาพสูง (โดยไม่ใช่ปริมาณโปรตีนสูง) เพื่อช่วยให้ไตทำงานน้อยลง
จากการทดลองของผู้เขียน ใช้การให้อาหารแบบโบราณที่มีโปรตีนคุณภาพสูง ให้สุนัขกินเป็นช่วงๆ เป็นประจำ สุนัขจะไม่มีปัญหาโรคไต
***ถ้าคุณให้สุนัขได้กินเนื้อดิบติดกระดูกประมาณ 60%ของอาหารแต่ละมื้อ สุนัขของคุณจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว
แร่ธาตุ
- สุนัขต้องการแร่ธาตุหลายชนิดอย่างพอเพียงและสมดุล จึงจะเติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์แข็งแรงและมีอายุยืนยาว พ่อแม่พันธุ์ก็จะให้ลูกดี
แคลเซียม และฟอสฟอรัส ถือว่าเป็นแร่ธาตุที่สำคัญที่สุนัขต้องการมากที่สุดซึ่งจะพบได้ในกระดูก ทำให้กระดูกแข็งแรง นอกจากนี้ยังมีสังกะสี, แมกนีเซียม, แมงกานีส, ไอโอดีน, เซเลเนียม, โครเมียม, เหล็ก ฯลฯ
– หมาป่า ได้อาศัยกระดุกและเนื้อดิบเป็นแหล่งแร่ธาตุที่สมบูรณ์และสมดุล ซึ่งสุนัขในปัจจุบันนี้ก็ควรต้องทำตามวิธีดั้งเดิมนี้ด้วย แล้วสุนัขของเราจะไม่มีการขาดสารอาหารที่มีแร่ธาตุที่จำเป็นและความสมดุลครบ ถ้วน หากพวกมันได้กินอาหารที่ประกอบด้วยกระดูกติดเนื้อดิบๆ ทั้งนี้หมายถึงสุนัขทุกวัย รวมถึงลูกสุนัขเล็กๆด้วย โดยไม่ขึ้นอยู่กับชนิดและขนาดของพันธุ์สุนัข เนื่องจากกระดูกนั้น เป็นแหล่งสะสมแร่ธาตุที่สุนัขต้องการในสภาพสมดุลมี่สุด และอยู่ในสภาพที่สามารถดูดซึมไปใช้ได้มากที่สุดโดยไม่มีส่วนที่เหลือ สะสมอยู่ในร่างกาย ซึ่งความจริงแล้วนั้น เป็นเรื่องปกติมากที่สุนัขจะกินกระดูก เพราะระบบร่างกายของสุนัขถูกออกแบบมาเพื่อใช้เป็นแหล่งแร่ธาตุหลักของมัน
– การให้อาหารที่ไม่มีกระดูกเลย แต่ให้แคลเซี่ยมเสริมแทนนั้น จะเป็นผลเสียต่อสภาพร่างกายของสุนัขอย่างมาก รวมถึงสภาวะการขาดสมดุลของแร่ธาตุ
อาหารที่ขาดแคลเซี่ยม
สุนัขที่ เลี้ยงโดยอาหารที่ทำเอง เช่นอาหารเหลือจากคน (ที่ไม่มีกระดูก) หรืออาหารเนื้อเป็นหลัก จะมีสภาวะขาดแร่ธาตุ หลายๆอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แคลเซี่ยม ซึ่งเป็นปัญหาปกติที่พบกันอยู่เสมอๆ แต่ในทางกลับกันปัญหาที่เกิดบ่อยๆกับหมาที่เลี้ยงด้วยอาหารสำเร็จรูป มักจะเกิดจากการได้รับแคลเซียมมากเกินไป!!!
1.) ซึ่งเป็นสาเหตุต่อเนื่อง ให้แร่ธาตุอื่นๆ ไม่สามารถนำมาใช้งานได้ดีหลายอย่าง เช่น สังกะสี, เหล็ก และทองแดง รวมไปกับโครเมียม และซีเรเนียม
2.) อาหารสำเร็จรูปส่วนใหญ่ มักจะมีเกลือมากเกินไป เป็นเหตุหนึ่งที่สุนัขมีปัญหา hypertension และ Cardiovascular Disease
3.) นอกจากนี้ยังมีฟอสฟอรัสมากเกินไป ซึ่งทำให้เกิดปัญหาโรคไตวายเมื่ออายุมากขึ้น
* สุนัขทุกตัวที่กินอาหารสำเร็จรูปหรืออาหารที่ทำให้สุกเป็นหลัก มักจะมีปัญหาขาดสมดุลแร่ธาตุ ไม่มากก็น้อย
ปัญหาจากการเสริมแร่ธาตุ:
การให้แร่ธาตุเสริมในอาหารสุนัขนับว่าเป็นอันตรายยอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในลูกหมาจะมีปัญหามากในเรื่องการเจริญเติบโตและโครงสร้างของกระดูก ตลอดจนโรคผิวหนัง เมื่อสุนัขอายุมากขึ้น ก็จะเป็นปัญหาต่อเนื่องยาวนานเพราะการขาดสมดุลแร่ธาตุ (โดยมีบางอย่างมากเกินไป, บางอย่างน้อยไป หรือบางอย่างขาดไป) หากเราให้แร่ธาตุเสริมแก่สุนัข โดยแยกเป็นอย่างๆ (เช่นที่มีขายตามท้องตลาด)
วิธีการให้อาหารสุนัขด้วยกระดูก
สุนัขจะได้รับแร่ธาตุครบถ้วนสมดุล โดยให้อาหารอื่นๆร่วมกันกับกระดูก เช่น ผักใบเขียว, เนื้อสด ชนิดต่างๆ เช่นเนื้อแกะ, ไก่, ตับไตไส้พุง, นมเนย, อาหารทะเล, ไข่, บริวเวอร์ยีสต์ , สาหร่าย และธัญพืชไม่ขัดขาวปริมาณเล็กน้อย
วิตามิน (Vitamins)
วิตามินเป็นส่วนประกอบทางชีวเคมีพื้นฐานตามปกติของร่างกาย ถ้าไม่มีวิตามิน ร่างกายจะไม่ทำงานตามปกติอย่างที่ควรจะเป็น
• ในอาหารดิบที่ไม่ผ่านกระบวนการอะไรเลย จะมีวิตามินที่ร่างกายต้องการอย่างน้อย 1 อย่าง หรือมากกว่า
หมา ป่าหรือสุนัขที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติจะได้รับวิตามินอย่างอุดมสมบูรณ์มาก เพราะมันอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีพืชผักต่างๆ หลากหลายชนิด พร้อมทั้งยังมีสัตว์และแร่ธาตุจากแหล่งตามธรรมชาตินานาชนิด ซึ่งวิตามินในอาหารตามสภาพแวดล้อมเช่นนี้ย่อมเพียงพอ หรืออาจจะมากไปด้วยซ้ำ
• ในระดับวิตามินที่ได้รับอย่างอุดมสมบูรณ์ มันจะทำหน้าที่เป็นกันชนให้กับร่างกายเมื่อต้องทำงานหนัก ฯลฯ
วิตามินจะช่วยเสริมสร้าง: - สุขภาพที่ดี
- ความแข็งแรงสม่ำเสมอ
- เป็นภูมิต้านทานโรค
- อายุยืนยาว
วิตามินจะทำให้: - ทำงานหนักได้ดี
- ผสมพันธุ์ติดง่าย
- ให้น้ำนมมาก
- มีการเจริญเติบโตได้ดี
วิตามินจะช่วยให้: - ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ดี
- มีระบบการขับสารเคมีที่เป็นพิษออกจากร่างกาย
สาร เคมีที่เป็นพิษส่วนใหญ่เกิดจากสิ่งแวดล้อมที่แย่ลงทุกๆวัน ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาระหว่างการเจริญเติบโต, การผสมพันธุ์ และโรคต่างๆในช่วงอายุที่มากขึ้น ดังนั้น วิตามินที่จะต่อต้านมลพิษต่างๆได้ เช่น วิตามิน A และ C
• การให้วิตามินเป็นยารักษาโรค ในช่วงที่สุนัขป่วยอาจให้วิตามินบางอย่างให้ปริมาณมากกว่าปกติ แต่ต้องไม่ถึงกับให้ในเกณฑ์ที่มากเกินไป
• การให้วิตามินมากเกินไป จนเกิดเป็นพิษต่อร่างกาย
I.) วิตามินบางชนิด เช่นกลุ่มวิตามิน B Complex และ C จะไม่มีอันตราย ในกรณีที่ถ้าให้มากเกินไป เพราะร่างกายจะทำการขับสารนี้ออกมาเอง
II.) แต่วิตามินบางชนิดจะเป็นพิษได้ถ้าให้มากเกินไป เช่น วิตามิน A และ D
• วิตามินไม่เพียงพอ (ในอาหารสำเร็จรูป และอาหารที่ทำเองแบบสุก)
I.) สุนัขจะไม่มีอาการเจ็บป่วยให้เห็นชัดเจน แต่จะไม่ร่าเริงกระปรี้กระเปร่า ดูมีความสุขเท่าทีมันควรจะเป็น
II.) สุนัขจะไวต่อการติดเชื้อต่างๆได้ง่าย, มีพยาธิ, หรือเห็บหมัด เวลาเจ็บป่วยเล็กน้อย ก็จะทรุดหนักได้ง่าย โดยสุนัขเหล่านี้จะออกอาการของโรคทางพันธุกรรมตั้งแต่อายุยังน้อยๆ เช่น ข้อตะโพกพิการ, มะเร็งต่างๆ, โรคผิวหนัง, โรคไต, โรคหัวใจ ฯลฯ และผสมติดยาก
ประเภทของวิตามิน แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
1. กลุ่มละลายในน้ำ เช่น กลุ่มวิตามิน C และ B Complex
2. กลุ่มละลายในน้ำมัน เช่น วิตามิน A, D, E และ K
1. กลุ่มที่ละลายในน้ำ
A.) วิตามิน B Complex
การได้รับวิตามินกลุ่มนี้มากเกินไป ร่างกายจะขับออกมาเองโดยธรรมชาติ จึงปลอดภัยสำหรับการกินมากหรือบ่อยเกินไป แต่อาจจะเป็นอันตราย ถ้าไม่ได้รับวิตามินนี้ หรือได้รับไม่เพียงพอต่อความต้องการ
- B Complex ทำหน้าที่เสริมสร้างพลังงานโดยเปลี่ยนไขมัน, คาร์โบไฮเดรต และโปรตีน ให้เป็นพลังงาน ถ้าได้รับวิตามิน B ไม่เพียงพอ จะไม่พอในเรื่องการผลิตพลังงานเพื่อให้ร่างกายทำงานได้ตามปกติ สุนัขจะอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เติบโตช้า ฯลฯ
- วิตามินชนิดนี้ ทำหน้าที่สำคัญอีกอย่างคือ การพัฒนาและซ่อมแซมระบบประสาท รวมถึงการสร้างสัญญาณในระบบสั่งการของจิตประสาท ซึ่งมีผลต่อความสุขุมและมั่นคงของจิตประสาท
- ถ้าร่างกายได้รับวิตามิน B ไม่เพียงพอ สุนัขจะมีพัฒนาการที่ช้ามากและระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ซึ่งเป็นผลเกี่ยวเนื่องไปถึงการสร้าง แอนตี้บอดี้ (Anti-body) และการพัฒนาของต่อม Thymus ซึ่งเป็นต่อมผลิตภูมิคุ้มกันเป็นหลัก
- วิตามิน B หลายตัวทำหน้าที่เหมือน แอนตี้ออกซิแดนท์ หรือป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ ที่ให้เกิดการแก่ตัวของเนื้อเยื่อต่างๆ รวมไปถึงการทำลายโมเลกุลที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ทั้งจากภายในและภายนอกร่างกาย หรือที่เรียกกันว่า อนุมูลอิสระ (Free Radicals)
- วิตามิน B ยังทำหน้าที่ผลิต แอนตี้-สเตรส (Anti-stress) ฮอร์โมนซึ่งสำคัญต่อร่างกายเป็นอย่างมาก และยังทำหน้าที่ผลิตวิตามิน C – วิตามินหลักที่ใช้ในการบำรุงร่างกาย, และช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายจากการทำงานหนัก
- วิตามิน B ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเจริญเติบโตของร่างกายทุกขั้นตอน ทั้งยังเสริมสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อส่วนต่างๆของร่างกาย และมีบทบาทสำคัญในกระบวนการผลิตเลือดทุกขั้นตอน รวมไปถึงการสร้างและซ่อมแซมร่างกายทั่วไป ทั้งผิวหนัง, ขน, ต่อมต่างๆ ตลอดจนส่วนที่รับความรู้สึกต่างๆ เช่น ลิ้น, ตา ฯลฯ
**อาหารที่มีวิตามิน B
อาหารสมัยนี้มีวิตามิน กลุ่ม B Complex ค่อนข้างสูง เช่น บริวเวอร์ยีสต์, ธัญพืชต่างๆ, ข้าวกล้อง, ข้าวโอ๊ต, วีทเจิร์ม, ข้าวสาลี, ขนมปังไม่ขัดขาว, เนื้อแดง, เครื่องใน, หัวใจ, สมอง, ตับ, ไต, ไข่แดง, ไก่ดิบ, เนยแข็ง, โยเกิร์ต, นม, ปลามันๆ, ผักใบเขียว, หัวผักต่างๆ, ถั่ว, มันฝรั่ง, น้ำตาลแดง, ผลไม้แห้ง, ผลไม้สด ฯลฯ
โดยในจำนวนที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ มี บริวเวอร์ยีสต์กับตับ ที่มีวิตามิน B มากที่สุด นอกจากนี้ ที่สำคัญคือ วิตามินกลุ่ม B Complex นี้จะมีอยู่ในอาหารสด, ดิบมากที่สุด ส่วนอาหารที่ทำสุกหรือมีการปรุงผสมกันยิ่งมากเท่าไหร่ ความสมดุลของวิตามินต่างๆตามธรรมชาติ ก็จะผิดเพี้ยนไปหมด ไม่มากไปก็จะน้อยเกินไป ดังนั้นเราอาจให้ วิตามิน B เสริมแก่สุนัขของเราอีกก็ได้ โดยให้พร้อมอาหาร เพื่อไม่ให้ระคายเคืองกระเพาะอาหาร
วิตามิน C
วิตามิน C เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำเหมือนวิตามิน B แต่เดิมเรามักเข้าใจกันว่าร่างกายไม่สามารถเก็บวิตามิน C ไว้ได้ ซึ่งไม่จริง เพราะสุนัขเก็บวิตามิน C ไว้ใช้ได้เข่นเดียวกับวิตามิน B ดังนั้นการได้รับวิตามิน C มากเกินไปนั้น จะไม่เป็นพิษต่อร่างกาย เพราะร่างกายจะขับวิตามินส่วนที่เกินออกไปได้เอง เช่นเดียวกับวิตามิน B
¨ ดังนั้นสุนัขบ้านที่เลี้ยงไว้ควรได้รับวิตามิน C เสริม เพื่อมั่นใจว่ามันได้รับเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ซึ่งถ้าเทียบกับบรรพบุรุษของมัน หมาป่านั้น จะได้รับวิตามิน C อย่างมากมาย พอเพียงจากอาหารที่มันล่าได้ เช่นพวกเครื่องใน, ตับไตไส้พุงสดๆ และผลไม้สุกที่ร่วงหล่นอยู่ในป่า
¨ สุนัขที่เลี้ยงกันทั่วไป ไม่ได้รับอาหารที่มีคุณสมบัติและปริมาณมากพอที่จะผลิต วิตามิน C ได้เองเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงที่ร่างกายต้องทำงานหนัก หรืออยู่ในภาวะเครียด ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายต้องการ วิตามิน C สูงมากกว่าปกติ
• วิตามิน C ทำหน้าที่เป็น Anti-Stress โดยสภาวะที่ร่างกายต้องการวิตามิน C มากเป็นพิเศษนั้นมีดังต่อไปนี้คือ:
¨ เมื่อร่างกายได้รับสารพิษ วิตามิน C จะช่วยขับสารพิษประเภทโลหะหนักออกจากร่างกาย
¨ เมื่อร่างกายได้รับการติดเชื้อ วิตามิน C จะช่วยต่อสู้เชื้อโรคต่างๆรวมทั้งเชื้อไวรัส
¨ เมื่อร่างกายอยู่ในระหว่างการพักฟื้นจากการผ่าตัด หรือเจ็บหนัก วิตามิน C จะช่วยเสริมสร้าง ซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหาย
¨ เมื่อเกิดความเครียดจากการเดินทาง
¨ ความเครียดช่วงผสมพันธุ์ โดยที่เราให้วิตามิน C เสริมก่อนระหว่าง และหลังการผสม จะช่วยพัฒนาระบบภูมิคุ้มกันและช่วยเร่งระบบต้านทานโรคต่างๆ (ตามปกติ) ในช่วงตั้งท้อง วิตามิน C จะช่วยให้ผ่อนคลายและคลอดง่าย
¨ การเลี้ยงนมลูกและให้นม ระหว่างแม่สุนัขมีการให้นมลูก แม่สุนัขจะมีความเครียดมาก ดังนั้น วิตามิน C จะช่วยให้แม่สุนัขสบายขึ้น และมีผลต่อสุขภาพร่างกายทั้งแม่และลุก
¨ ช่วงลูกสุนัขหย่านม ช่วงนี้ลูกสุนัขจะมีความเครียดเกิดขึ้น เพราะนอกจากจะมีการเปลี่ยนแปลงอาหาร ยังอาจต้องเปลี่ยนที่อยู่, เปลี่ยนคนเลี้ยงดู และสภาพแวดล้อมต่างๆ ดังนั้น วิตามิน C จึงจำเป็นมาก สำหรับลูกสุนัขในช่วงนี้
¨ ช่วงการเจริญเติบโตระยะต้น ซึ่งจะเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก จำเป็นต้องเสริมวิตามิน C เพื่อช่วยผลิตโปรตีนคอลลาเจน ซึ่งเป็นสารอาหารหลักสำหรับสร้างเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิต รวมถึงปัญหากระดูกที่เกิดจากร่างกายเติบโตเร็วเกินไป วิตามิน C จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ แต่แน่นอนว่า ไม่ควรให้ลุกสุนัขโตเร็วเกินไปในช่วงนี้
¨ การออกกำลัง วิตามิน C ช่วยไม่ให้ร่างกายเหนื่อยล้าง่าย และช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอในช่วงร่างกายทำงานหนัก
¨ อายุมากขึ้น และร่างกายทรุดโทรม วิตามิน C ช่วยให้กระบวนการแก่ตัวและทรุดโทรมช้าลงอย่างเห็นได้ชัด
¨ อากาศเปลี่ยนกะทันหัน ในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยๆและมากๆนั้น ควรให้อาหารที่มีวิตามิน C หรือวิตามิน C ชนิดเสริม เพื่อช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน
• การให้วิตามิน C ในปริมาณมากเกินไปนั้น จะไม่มีอันตราย เพราะร่างกายจะสามารถขับออกมาได้เอง แต่การให้วิตามิน C ปริมาณมากๆนั้น บางครั้งอาจทำให้ท้องเสีย ซึ่งสามารถแก้ไขได้โดยลดปริมาณการให้วิตามิน C ลง อาการท้องเสียก็จะหายได้เอง
• ถ้าเราให้อาหารสดทั้งหมด รวมทั้งผักใบเขียวปริมาณมากๆ สุนัขก็จะผลิตวิตามิน C ได้เพียงพอโดยที่เราไม่จำเป็นที่จะต้องให้วิตามินเสริมเข้าไป
• สุนัขที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีมลพิษสูง เช่นในเมืองใหญ่ๆ, บ้านอยู่ติดถนนที่มีรถมาก, อยู่ใกล้โรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ ควรได้รับการเสริมวิตามิน C อย่างสม่ำเสมอเป็นประจำ
*** ปริมาณวิตามิน C ที่ควรให้ (โดยขึ้นอยู่กับสภาพของสุนัขแต่ละตัว)
เครียดเล็กน้อย - 100 mg/kg
เครียดพอสมควร - 200 mg/kg
เครียดมาก - 300 mg/kg
เครียดหนัก - 350 mg/kg
• วิธีการเพิ่มขนาด การเสริมวิตามิน C (ไม่ควรให้ครั้งเดียวเต็ม dose ควรแบ่งให้)
สำหรับสุนัขที่เครียดเล็กน้อย ควรแบ่งให้เป็น 2 มื้อ
สำหรับสุนัขที่เครียดพอสมควร ควรแบ่งให้เป็น 4 มื้อ
สำหรับสุนัขที่เครียดมาก-มากที่สุด ควรแบ่งให้เป็น 6 มื้อ
• สำหรับสุนัขที่กินอาหารสำเร็จรูปหรือทำสุก ควรให้วิตามิน C เสริมทุกวันในปริมาณ 100-200 mg/kg.
• ในกรณีที่สุนัขมีความเครียดอย่างรุนแรง ควรเพิ่มปริมาณวิตามิน C เสริมให้มากขึ้น โดยใช้เกณฑ์จากการสังเกตจากอาการท้องเสียของสุนัข คือถ้ามีอาการท้องเสียก็ให้ลดปริมาณลงเล็กน้อย จนถึงจุดที่ร่างกายสุนัขสามารถรับวิตามิน C ได้มากที่สุดโดยท้องไม่เสีย
รูปแบบของวิตามิน C
• ตัววิตามิน C เองมีสภาพเป็นกรดแอสคอร์ดบิค เกลือวิตามิน C มี 2 ตัวคือ โซเดียม แอสคอร์เบท และแคลเซี่ยมแอสคอร์เบท
• นอกจากนี้ยังมีวิตามินอีกแบบหนึ่งที่เรียกกันว่า เอสเตอร์ C
• การให้วิตามิน C ก็มีข้อจำกัดอยู่บ้าง ในกรณีที่สุนัขมีปัญหาอยู่แล้ว เช่น สุนัขที่เป็นโรคข้อ ไม่ควรให้วิตามิน C ในรูปกรดแอสคอร์บิค (แต่ควรให้ในรูปของ โซเดียม แอสคอร์เบท, แคลเซี่ยมแอสคอร์เบท หรือ เอสเตอร์ C จะดีกว่า) , สุนัขที่มีปัญหาโรคหัวใจ ไม่ควรให้วิตามิน C ในรูปของ โซเดียม แอสคอร์เบท หรือถ้าในกรณีที่สุนัขอายุน้อยๆและเป็นโรคข้อตะโพก เนื่องจากมีแคลเซี่ยมมากเกินไปนั้น ไม่ควรให้วิตามิน C ในรูปของ แคลเซี่ยมแอสคอร์เบท
2. กลุ่มวิตามินที่ละลายในไขมัน เช่น วิตามิน A, D, E และ K
• วิตามินเหล่านี้ส่วนใหญ่ (ยกเว้นวิตามิน D) ทำหน้าที่เป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ หรืออยู่ในกลุ่มวิตามินที่ช่วยชลอความแก่
• วิตามินพวกที่ละลายในไขมันเหล่านี้ จะสะสมอยู่ในร่างกายและโดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามิน A และ D คือถ้าสะสมในปริมาณมากเกินขีดจำกัดจะเป็นอันตรายได้ ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังในการให้วิตามินกลุ่มนี้ในปริมาณและช่วงเวลาที่ถูก ต้องเหมาะสม เพื่อที่จะได้ให้ผลดับสุขภาพของสุนัข
วิตามิน A
**ปริมาณต่ำสุดของวิตามิน A ที่ร่างกายต้องการ
ปริมาณของวิตามิน A จะระบุเป็น IU (International Unit) 1 IU = 0.3 mg Vitamin A
• สุนัขที่กินอาหารสำเร็จรูปทั่วๆไป จะได้รับวิตามิน A ประมาณ 50-100 IU/kg/วัน ซึ่งเป็นปริมาณปกติ
**ปริมาณที่ปลอดภัยสำหรับการให้วิตามิน A
• ประมาณ 100-200 IU/kg/วัน (เช่น สุนัขหนัก 30 กก. ควรได้รับวิตามิน a ประมาณ 7,500-15,000 IU/วัน)
• ระยะเวลาช่วง 1-2 เดือน สำหรับสุนัขทั่วๆไป ถ้าให้ติดต่อกันในปริมาณที่กล่าวมาข้างต้น ก็ถือว่าปลอดภัย หรือถ้าจะให้ดี ควรให้ 1 เดือน เว้น 1 เดือนจะดีที่สุด
**ไม่ควรให้วิตามิน A เมื่อ
¨ สุนัขเป็นโรคตับ หรือไตอย่างรุนแรง
¨ อาหารที่ให้ประจำนั้น มีวิตามิน A มากอยู่แล้วเช่น ตับ
¨ มีอาการแพ้วิตามิน A ในเกณฑ์สูง
โดย ทั่วไปแล้ว ระดับที่ปลอดภัยสำหรับสุนัขจะอยู่ที่ปริมาณ 4-10 เท่าของระดับที่ร่างกายต้องการ ซึ่งถ้าเราต้องการที่จะให้ในระดับที่มากเกินกว่านั้น ก็ควรเป็นระยะเวลาสั้นๆ โดยปกติผลกระทบที่เป็นอันตรายส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเมื่อสุนัขได้รับวิตามิน A มากกว่า 100 เท่าของระดับที่ร่างกายต้องการติดต่อกันเป็นเวลานานหลายเดือน
อาการที่แสดงถึง วิตามิน A เป็นพิษ
- โครงกระดูกผิดรูป
- เลือดออกภายใน, เลือดแข็งตัวช้า
- เบื่ออาหาร, การเจริญเติบโตช้า, น้ำหนักลด
- ผิวหนังหนาตัว
- เม็ดโลหิตแดงลดจำนวน
- มีปัญหาโรคตับ, ไต
แหล่งวิตามิน A ตามธรรมชาติของสุนัข
- แหล่งที่มีมากที่สุดคือ น้ำมันปลา รองลงมาเป็นไขมันนม, ไข่แดง, ตับ
- Pro-vitamin A หรือเบต้าแคโรทีน ก็เป็นแหล่งวิตามิน A ที่ดีมาก จะมีมากในผักใบเขียว ส่วนที่มีสีเขียวของผักทุกชนิดจะมีเคโรทีนมาก รวมถึง แครอท, ข้าวโพด, มันเทศ, ฟักทอง, ผักใบเขียว ต่างๆ
วิตามิน E ต่อสู้อาการแก่
ร่างกายของสุนัขจะถูกทำลายลงไปเรื่อยๆ ด้วยโมเลกุลที่ร่างกายผลิตขึ้นมาเอง หรือที่เรียกว่า อนุมูลอิสระ ถ้ากระบวนการนี้ดำเนินต่อไปไม่หยุด ก็จะมีผลให้แก่เร็วขึ้น และมีอาการป่วยทางพันธุกรรม เช่น มะเร็ง, เป็นลม, ข้อพิการ ฯลฯ
• อนุมูลอิสระ เกิดขึ้นจากที่มีไขมันสะสมในเนื้อเยื่อมากเกินไป นานเข้าก็จะรวมตัวกันเป็นโมเลกุลของอนุมูลอิสระ
• วิตามิน E ทำหน้าที่เป็น แอนตี้ออกซิแดนท์ หรือต่อต้านกระบวนการเสื่อมสลาย ของเนื้อเยื่อในร่างกาย
- ชะลอการแก่ตัว
- รักษาอาการของโรคหัวใจ
- ป้องกันเลือดแข็งตัว และการเป็นลมหมดสติในสุนัขแก่
- ต่อต้านเชื้อโรคต่างๆ
- ช่วยบำรุงระบบการผสมพันธุ์
- ป้องกันผลกระทบจากสารพิษจำพวกโลหะหนัก
**ปริมาณวิตามิน E ที่สุนัขต้องการ
ขึ้นอยู่กับอาหารที่สุนัขกินเข้าไป ถ้าอาหารนั้นมีไขมันไม่อิ่มตัว เช่นน้ำมันข้าวโพด, น้ำมันปลาค้อด, น้ำมันดอกทานตะวัน, น้ำมันลินสีด ฯลฯ ความต้องการวิตามิน E อาจเพิ่มมากขึ้นถึง 5 เท่า เพราะวิตามิน E ในไขมันเหล่านั้นจะถูกทำลายไปในการกันหืน
โดยปกติ สุนัขที่มีขนาด น้ำหนัก 25 กก. จะต้องการวิตามิน E 1-5 mg/วัน ในกรณีที่ให้อาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัวมาก โดยเฉพาะน้ำมันปลา จะต้องเพิ่มวิตามิน E อีก 5-10 เท่า เพราะน้ำมันพืชส่วนมากนั้น จะมีวิตามิน E อยู่บ้าง แต่ในน้ำมันปลาจะไม่มี ดังนั้นปริมาณที่เหมาะสมสำหรับสุนัขจะอยู่ที่ประมาณ 10-20 mg/kg/วัน (ถ้าสุนัขหนัก 25 กก. จะต้องการวิตามิน E ประมาณ 250-500 mg/วัน)
แหล่งวิตามิน E
- ผักใบเขียวต่างๆ
- น้ำมันพืช จะมีปริมาณวิตามิน E สูงที่สุด รองลงมาจะเป็น น้ำมันวีทเจริ์ม, น้ำมันเมล็ดฝ้าย, น้ำมันดอกคำฝอย, น้ำมันถั่วเหลือง, น้ำมันถั่วลิสง ฯลฯ ตามลำดับ
- ไข่, เมล็ดธัญพืช, จมูกธัญพืช, ตับ, ถั่วฝักต่างๆ, เนย, นม
พิษตกค้างจากวิตามิน E
- สุนัขที่มีอายุมาก ที่เป็นโรคหัวใจ (อาจเป็นความดันสูง) กินวิตามิน E จะช่วยได้ แต่ต้องค่อยๆเพิ่มปรืมาณทีละน้อยๆ เพราะการได้รับวิตามิน E ในปริมาณมากๆ ทันทีทันใดนั้น อาจเกิดความดันสูงขึ้นทันที (แบบชั่วคราว)
- งดให้วิตามิน E พร้อมกับอาหารเสริมธาตุเหล็ก เพราะมันทั้ง 2 มีคุณสมบัติทำลายซึ่งกันและกันเอง
วิตามิน D
ได้จากแสงแดด โดยให้สุนัขตากแดดโดยตรงวันละประมาณ 15 นาที ก็พอ ทั้งนี้ วิตามิน D จะช่วยให้กระดูกแข็งแรง เต็มไปด้วยแคลเซี่ยม, ซึ่งวิตามิน D นี้จะทำหน้าที่ควบคุมการดูดซึมของแคลเซี่ยมและฟอสฟอรัส จากลำไส้เล็ก และจากส่วนที่สะสมอยู่ในกระดูกออกมา เพื่อดูดซึมกลับไปใช้ได้อีกโดยผ่านทางไต
ความต้องการวิตามิน D
ในสุนัขที่อายุน้อยๆ ที่มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ และได้รับอาหารที่สมดุลตามธรรมชาติ จากกระดูกและเนื้อดิบ และยังได้รับแสงแดดมากเพียงพอ ไม่จำเป็นต้องเสริมวิตามิน D
อาหารที่มีวิตามิน D
• น้ำมันตับปลา โดยเฉพาะปลาน้ำเค็ม เช่นปลาเฮอริ่ง, แซลมอน, ซาดีน ฯลฯ ดังนั้นควรให้ปลากระป๋องบ้างเป็นครั้งคราว
• ไข่แดง โดยเฉพาะไข่จากไก่ ที่ได้รับอาหารดีๆ หรือได้รับแสงแดดมากเพียงพอ ควรซื้อไข่จากชาวบ้านดีที่สุด
การได้รับวิตามิน D ในระดับที่มากเกินไป
จะทำให้ระดับแคลเซี่ยมในเลือดสูงเกินไป เป็นเหตุให้มีแคลเซี่ยมตกค้างทั่วร่างกาย ซึ่งขัดขวางการทำงานของระบบปกติในร่างกาย
ระดับวิตามิน D ที่ปลอดภัย
- โดยทั่วไป ในสุนัขที่กำลังเจริญเติบโต ควรได้รับวิตามิน D 22 IU/kg/วัน (ถ้าสุนัขหนัก 30 กก. = 660 IU/วัน)
- ในน้ำมันตับปลา จะมีวิตามิน D ประมาณ 10,000 IU/100gm.
ผลจากการขาดวิตามิน D
- กระดูกโค้งงอ, กระดูกอ่อนแอ ในสุนัขที่ยังเล็กๆ จะสังเกตได้จากอาการเบื่ออาหาร, น้ำหนักลด, เจริญเติบโตช้า, ข้อเข่าปูดโปน
- ในสุนัขโต จะเป็นโรค Osteomalacia กระดูกเปราะ ซึ่งกว่าจะเกิดอาการนี้ ก้อกินเวลาเป็นปีๆ ซึ่งอาการที่เห็นได้ชัดคือกล้ามเนื้ออ่อนแอ, เจ็บกระดูก และกระดูกเปราะหักง่าย
วิตามิน K
- เป็นวิตามินที่ทำหน้าที่ช่วยป้องกันอาการเลือดไหลไม่หยุด ซึ่งวิตามิน K นี้จะช่วยให้ตับผลิตสารต่างๆที่ทำให้เลือดแข็งตัว
- วิตามิน K ยังมีบทบาทสำคัญในการซ่อมแซมและเสริมสร้าง โดยเฉพาะการเจริญเติบโตของกระดูกและการผลิตผิวหนังที่สมบูรณ์
- วิตามิน K เกิดจากแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ โดยสุนัขที่กินอึบ่อยๆ จะได้รับปริมาณวิตามิน K มากกว่าปกติ
- อาหารที่เป็นแหล่งวิตามิน K คือผักใบเขียวต่างๆ, ตับสด และปลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผักที่มีสีเขียวเข้มมากๆ เช่นผักกาดหอมแก่ๆ, ใบของดอกกระหล่ำ, ใบบล็อกโคลี่, ผักขม
- สุนัขที่กินยาปฏิชีวนะมากๆ โดยเฉพาะ Sulphonamides อาจทำให้ลำไส้ลดการผลิตวิตามิน K ลง
สรุป อาหารสำหรับสุนัขที่แข็งแรงเป็นปกติ
- เนื้อสดติดกระดูกจาก ไก่, แกะ, วัว, กระต่าย และหมู
- เนื้อแดง
- เครื่องใน, ตับ, ไต, หัวใจ, สมอง
- ไข่แดง
- เนยแข็งและคอทเทจชีส, โยเกริ์ต, นม และเนย
- อาหารทะเล และอาหารสดจากปลาเฮอริ่ง, แซลมอน, ซาดีนส์
ϖ ผักใบเขียวต่างๆ
ϖ ข้าวโพด, มันเทศ (สีเหลือง), แครอท
ϖ ผลไม้สดและแห้ง
ϖ ธัญพืชต่างๆ เช่นข้าวกล้อง, ข้าวโอ๊ต, วีทเจิร์ม ฯลฯ
o บริวเวอร์ยีสต์, สาหร่ายทะเล, โมลาส
¨ น้ำมันตับปลา
¨ น้ำมันข้าวโพด, ถั่วเหลือง, วีทเจิร์ม, เมล็ดฝ้าย, ดอกคำฝอย, ดอกทานตะวัน, ถั่ว
*อะไรที่ซ่อนอยู่ในอาหารสุนัขสำเร็จรูป I*
ใคร บ้างที่จะคิดว่าอาหารสัตว์สำเร็จรูปที่ขายอยู่ตามท้องตลาดในปัจจุบันนั้นมี อันตรายแอบแฝงต่อสุนัขของเราอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็นพวกสารพิษต่างๆที่มา พร้อมกับวัตถุดิบในการผลิต สารปรุงแต่งอื่นๆไม่ว่าจะเป็นวัตถุกันเสีย สีผสมอาหาร สารปรุงเพื่อเพิ่มรสชาติหรือแม้กระทั่งกลิ่นที่น่าลิ้มลอง
คุณๆ เคยถามตัวเองบ้างมั้ยว่า อาหารเหล่านั้นมันมีอะไรแอบแฝงอยู่ แล้วคุณสามารถเอาอะไรเป็นหลักประกันได้ว่าสุนัขของคุณได้รับสารอาหารที่ เหมาะสมครบท้วน ปลอดภัยปราศจากสารพิษที่เป็นอันตรายต่างๆ ในปัจจุบันเราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าโฆษณานั้นได้มีอิทธิพลต่อความเชื่อและ แนวทางการดำ รงค์ชีวิตของเรามากเพียงไร อิทธิพลกลไกตลาดต่างๆทำให้เราเชื่อเหลือเกินว่า อาหารสำเร็จรูปเหล่านั้นคือสิ่งที่ดีที่สุด และถึงแม้ว่าจะมีบางคนคิดในใจว่า อาหารเกรดพรีเมี่ยมราคาแพงที่คุณซื้อมานั้นต่างหากคือสิ่งที่ดีที่สุด แต่แท้จริงแล้วคุณมั่นใจได้อย่างไร? คุณสามารถวัดคุณภาพต่างๆได้จากที่ไหน หรือว่าเกณฑ์การตัดสินนั้นต้องวัดกันที่ราคาและตัวอักษรที่อยู่บนฉลากข้าง ถุง หรือว่าเลือกจากยี่ห้อที่เจ้าของร้านขายสินค้าสัตว์เลี้ยงหรือสัตว์แพทย์ของ คุณแนะนำ เคยนึกคิดมั้ยว่าบางทีคำบอกเล่าปากต่อปากหรือที่รู้จักกันว่า Word of Mouths นั้น ก็มาจากการที่คนเรานั้นถูกปลูกฝังความเชื่อนี้มาจากเหล่าตัวแทนและโรงงาน ผลิตอาหารสัตว์เหล่านั้นเหมือนๆกัน
ทุกครั้งเวลาที่คุณจะตัดสินใจ เลือกซื้ออาหารสุนัขในแต่ละครั้ง คุณเคยพิจารณาบ้างเกี่ยวกับผสมส่วนของอาหารที่คุณกำลังจะนำไปให้สัตว์ที่ เปรียบเหมือนเพื่อนที่แสนดีของเราบ้างรึเปล่าว่าจริงๆแล้ว เจ้าพวกส่วนผสมนี้นั้นทำมาจากอะไร คุณรู้มั้ยว่าขั้นตอนที่เค้าผลิต “เนื้อและกระดูกป่น” นี่ทำมาจากอะไรแล้วเค้าทำอย่างไร แล้วคำว่า “ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสัตว์ (Meat by product)” ทำมาจากอะไร?
หมาย เหตุ*** ข้าพเจ้าขอเรียนด้วยความเคารพว่าสิ่งที่นำมาเผยแพร่ในครั้งนี้ข้าพเจ้าไม่ ได้มีเจตนาที่จะกล่าวร้ายหรือพาดพิงถึงกลุ่มบริษัทหรือบุคคลใดๆให้ต้องได้ รับความเสื่อมเสียชื่อเสียงใดๆทั้งสิ้น ข้าพเจ้ามีเพียงเจตนาที่บริสุทธิ์ที่ต้องการเผยแพร่ข้อมูลในกับบุคคลทั่วไป ได้รับรู้ ซึ่งข้อมูลต่อไปนี้เป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น เป็นบทความจากนิตยสารแห่งหนึ่งในประเทศอเมริกาเกี่ยวกับมลภาวะที่ซ่อนอยู่ใน อาหารสุนัขสำเร็จรูป ซึ่งข้าพเจ้าขออนุญาตสรุปเอาแต่เฉพาะใจความสำคัญ โดยที่ ถ้าท่านใดมีความประสงค์ที่อยากจะทราบรายละเอียดเพิ่มเติมนี้สามารถเข้าไปค้น คว้าอ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.nexusmagazine.com//Petfood.html
------------------------------------------------------------------------
คำเตือน:
- เรื่องราวที่นำมาเล่านี้ถึงแม้ว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศอเมริกา แต่ใครล่ะที่สามารถยืนยันได้ว่ามูลเหตุของเรื่องต่อไปนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้น ในบ้านเมืองของเรา ไม่ว่าจะเป็นขณะนี้หรือวันข้างหน้า
- เนื้อหาต่อไปนี้อาจทำให้ใครบางคนต้องย้อนกลับไปคิดถึงว่าอะไรคือสิ่งที่คุณ นำมาให้สัตว์เลี้ยงสุดรักของคุณกิน และรวมถึงสิ่งที่คุณและครอบครัวกำลังบริโภคอยู่ในปัจจุบัน
-----------------------------------------------------------------------
1. ความจริงเกี่ยวกับสุนัขและแมว (by Ann Martin)
เคย ทราบหรือไม่ว่า อุตสาหกรรมอาหารสัตว์นับพันล้านดอลลาร์ มีเบื้องหลังของส่วนผสมของวัตถุดิบในอาหารสัตว์สำเร็จรูปนั้นอาจประกอบด้วย ซากสัตว์ที่ตายบนท้องถนน, ซากสัตว์ที่ตายด้วยโรคติดต่อที่ไม่สามารถนำมาผลิตในอุตสาหกรรมอาหารของ มนุษย์ หรือแม้กระทั่งซากศพของสุนัขและแมวด้วยกันเอง ใครบ้างจะทราบว่าการที่บริษัทผลิตอาหารเหล่านั้นอ้างถึงสินค้าของพวกเขาว่า มีสารอาหารครบถ้วนและสมดุล แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น อาหารสัตว์สำเร็จรูปนั้นไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะนำมาบริโภค
“โปรตีน จากพืช” ที่มีอยู่ในอาหารสุนัขแบบเม็ดนั้น ประกอบด้วย กากข้าวโพด, ข้าวสาลี, ถั่วเหลืองป่น, ข้าวเปลือก, ถั่วลิสงป่น และฝักของถั่วลิสง (ที่ระบุว่าเป็น เซลลูโลส บนฉลากของถุงอาหาร) ทั้งหมดนี้บ่อยครั้งในความเป็นจริงยังมีอยู่น้อยกว่าส่วนผสมของพวกเศษข้าว ที่ตกอยู่บริเวณพื้นของโรงโม่แป้ง โปรตีนจากพืชที่ผ่านกระบวนการผลิตมาหลายต่อหลายทอดเหล่านี้จะขาดแคลนปริมาณ ของ กรดไขมันจำเป็น, วิตามินชนิดละลายในไขมัน และสารจำพวก เอนตี้-ออกซิแดนซ์
“โปรตีนจากสัตว์” ที่เป็นส่วนผสมอยู่ในอาหารสัตว์ทำมาจาก เนื้อสัตว์ที่ติดเชื้อโรค, ซากสัตว์ที่ตายบนท้องถนน, วัตถุดิบที่มีการปนเปื้อนจากโรงฆ่าสัตว์, สิ่งปฏิกูล, เศษขนของสัตว์ปีก และเนื้อป่นที่ทำมาจากซากสุนัขและแมว ส่วนใหญ่แล้วแหล่งที่มาของโปรตีนในสัตว์ที่นำมาเป็นวัตถุดิบนั้นจะนำมาจาก ส่วนที่ถูกคัดทิ้งออกจากอุตสาหกรรมอาหารของมนุษย์เนื่องจาก สัตว์นั้นตายเพราะติดโรค, เศษเนื้อจากโรงชำแหล่ะชิ้นส่วน, ส่วนไขมัน และรวมถึง เนื้อที่คนตรวจสอบแล้วว่าไม่เหมาะสำหรับนำมาบริโภค วัตถุดิบที่กล่าวถึงเหล่านี้จะนำมาขายต่อให้โรงงานผลิตอาหารสัตว์
โรง งานหลอมสกัดโปรตีน นี้เป็นโรงงานที่ทำหน้าที่หมุนเวียนเนื้อสัตว์ที่มนุษย์ไม่สามารถนำบริโภค ได้ โดยผ่านกรรมวิธีแปรสภาพเนื้อสัตว์เหล่านั้นให้กลายเป็น ไขมันสัตว์, เนื้อและกระดูกป่น ซึ่งเนื้อสัตว์ที่นำมาแปรสภาพนั้นทำมาจากซากสัตว์ต่างๆ, สัตว์ที่ตายบนท้องถนนและรวมถึงซากสุนัขและแมว ซึ่งมีการตรวจพบว่าโรงงานเล็กๆแห่งหนึ่งใน Ontario ทำการหลอมสกัดแปรสภาพซากสุนัขและแมวไม่ต่ำกว่า 10 ตันต่อสัปดาห์
ถึง แม้ว่าทั้งในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา มีมาตรการดูแล และระวังในเรื่องส่วนผสมที่ใช้ในการผลิตอาหารสัตว์ แต่กระนั้นทางรัฐก็ยังไม่มีมาตรการดูแลและบทลงโทษอย่างจริงจัง
การ ที่บริษัทผลิตอาหารสัตว์เหล่านั้นได้มีการโฆษณาให้เชื่อว่าการที่จะมีสุนัข ที่ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์นั้น จำเป็นที่จะต้องให้อาหารเค้าด้วยอาหารสำเร็จรูปที่ได้มีการคิดค้นกำหนดสูตร ต่างๆขึ้นมา แต่แท้จริงแล้วอาหารสำเร็จรูปเหล่านั้นเป็นตัวการให้เกิดการก่อตัวของ มะเร็ง, ปัญหาโรคผิวหนัง, โรคภูมิแพ้ต่างๆ, ความดันโลหิตสูง, ปัญหาเรื่องตับและไตทำงานล้มเหลว, โรคหัวใจ ไปจนถึงปัญหาที่เกี่ยวกับฟัน
(Ann Martin is an animal rights activist and leading critic of the commercial pet food industry. She lives in London, Ontario, Canada.)
-----------------------------------------------------------------------
2. อาหารที่ไม่เหมาะกับสัตว์เลี้ยง (by Dr Wendell O. Belfield, D.V.M.)
ประโยค ที่ข้าพเจ้าได้ถูกถามจากคนไข้บ่อยที่สุดในชิวิตการทำงานเป็นสัตวแพทย์ก็คือ “อาหารสำเร็จรูปยี่ห้อไหนที่ดีที่สุด” ซึ่งในทุกครั้ง คำตอบนั้นคือ “ไม่มียี่ห้อใดเลย” ข้าพเจ้าแน่ใจว่าในบรรดาผู้เลี้ยงสุนัขจะสังเกตุเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงกับ สัตว์เลี้ยงของพวกเค้าหลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงปริมาณอาหารสำเร็จรูป ยี่ห้อนั้นๆ ว่าสัตว์เลี้ยงของเค้าอาจจะมีอาการท้องเสีย ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขนขาดความเงางาม อาเจียนเป็นพักๆหรือเกาตลอดเวลา ซึ่งแท้จริงแล้วอาการพวกนี้มีส่วนจากอาหารสุนัขสำเร็จรูป
ผู้เขียน ค้นพบถึงผลเสียที่เกิดขึ้นต่อสัตว์เลี้ยงที่มีผลจากอาหารสำเร็จรูปเหล่านั้น โดยพบว่าในแต่ละปีสุนัขและแมวหลายล้านตัวที่ตายไปจะถูกนำมาเป็นส่วนผสมรวม กับสัตว์อื่นๆโดยโรงงานหลอมสกัดโปรตีน โดยได้ทำการแปรเปลี่ยนวัตถุดิบเหล่านั้น เป็นพวกไขมันสัตว์ เนื้อและกระดูกป่นซึ่งพวกมันจะกลายเป็นวัตถุดิบของสินค้าหลากหลายชนิดรวมถึง เครื่องสำอางค์และอาหารสัตว์!!
ถึงแม้ว่าบริษัทผลิตอาหารสัตว์ สำเร็จรูปเหล่านี้จะได้ทำการปฏิเสธเพียงใดก็ตาม แต่รัฐบาลกลาง องค์การอาหารและยาและอื่นๆในสหรัฐได้ยืนยันว่า โดยปกติซากสัตว์เลี้ยงหลังจากที่มันตายลงไม่ว่าจะในสถานที่พักสัตว์ หรืออื่นๆจะถูกนำมาเข้ากระบวนการผลิตรวมกับส่วนผสมอื่นๆเป็นเนื้อและกระดูก ป่นหรือไขมันสัตว์ ซึ่งสามารถพบได้บ่อยครั้ง
การวิจารณ์ดังกล่าวนี้ทำ ให้ฝ่ายกระทรวงสาธารณะสุข นักวิทยาศาสตร์และบริษัทผลิตอาหารสัตว์เหล่านั้นได้มีการโต้แย้งว่า ชิ้นส่วนวัตถุดิบทุกชนิดที่ไม่ผ่านการตรวจสอบว่าเหมาะที่จะให้คนบริโภคกัน นั้นจะผ่านการฆ่าเชื้ออย่างดีเยี่ยมหรือที่เรียกว่า sterilized ดังนั้นไม่มีสารใดๆจะตกไปสู่ยังสัตว์ได้ แต่พวกเขาเหล่านั้นแทบไม่ได้มีโอกาสทราบถึงมูลเหตุความจริงของโรงงานหลอม สกัดเหล่านั้น
แต่ตลอดระยะเวลา 7 ปีของข้าพเจ้าที่ได้ทำงานเป็นสัตว์แพทย์ผู้ตรวจสอบเนื้อของรัฐบาลสหรัฐนั้น ข้าพเจ้าต้องเหยียบย่ำเดินผ่านผ่านน้ำคลำที่มีเลือดและมูลสัตว์เป็นส่วนผสม การที่ต้องสูดดมกล่นเหม็นของน้ำยาฆ่าเชื้อที่ราดบนพื้น และฟังเสียงของเหล่าสัตว์ที่ร้องโหยหวนเมื่อต้องถูกจับฆ่าในโรงฆ่าสัตว์
ก่อน ที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 โรงฆ่าสัตว์ส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายที่ทำหน้าที่จัดการทั้งหมดไม่ว่าจะในเรื่อง ฆ่า ชำแหล่ะ และแปรรูปไปเป็นสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อรมควัน, ไส้กรอก ไปจนถึงเนื้อบด แต่หลังจากสงครามจบสิ้น โรงฆ่าสัตว์ก็มีการพัฒนามากขึ้น โดยแบ่งแยกสัดส่วนกันชัดเจน เลยทำให้แผนกหลอมสกัดโปรตีนของโรงฆ่าสัตว์นั้นแยกออกมาต่างหาก ปราศจากการรู้เห็นของสาธารณะชนคนทั่วไป
ต่อมาได้มีมาตรการควบคุม คุณภาพวัตถุดิบ บรรดาเนื้อที่ถูกตรวจสอบแล้วและไม่ผ่านกฎเกณฑ์ ของรัฐนั้นว่าไม่เหมาะที่จะนำใช้เพื่อการบริโภคของมนุษย์นั้น จะต้องผ่านกรรมวิธีกระบวนการฆ่าเชื้อโรคให้เสร็จสิ้นก่อนออกจากโรงฆ่าสัตว์ เพื่อที่จะถูกลำเลียงต่อไปยังโรงงานหลอมสกัดชิ้นส่วนเหล่านั้นเป็นขั้นตอน ต่อไป โดยจะมีการใส่ กรด Carboric ที่มีความสามารถในการชำระล้างกัดกร่อน และหรือ มี Creosote ที่ใช้ในการรักษาเนื้อไม้หรือใช้เพื่อฆ่าเชื้อโรค ซึ่งสารทั้ง 2 ชนิดนี้มีค่าความเป็นพิษสูงมาก
ในบรรดาซากสัตว์ที่ ไม่ผ่านการคัดเลือกเหล่านั้นหลังจากที่ผ่านการฆ่าเชื้อโดยใส่สารพิษสารเคมี ต่างๆเข้าไปนั้นสามารถกลายเปลี่ยนเป็นเนื้อและกระดูกในโรงงานผลิตอาหารสัตว์ ได้ เพราะโรงงานหลอมสกัดชิ้นส่วนเหล่านั้นไม่ต้องผ่านการตรวจสอบใดๆ จากรัฐบาล ดังนั้นซากสัตว์ทุกชนิดก็สามารถถูกนำมาเข้าขั้นตอนหลอมสกัดเหล่านี้ได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งซากสุนัขและแมว ซึ่งถ้าเวลาที่คุณอ่านฉลากของอาหารสำเร็จรูปที่เขียนบอกว่า “ทำจากเนื้อและกระดูกป่นนั้น” ก็หมายความว่ามันคือสัตว์ทุกชนิดที่ ถูกปรุงและผ่านการแปรรูปมากแล้วไม่เว้นแม้กระทั่งสุนัขและแมวบางตัว
ใน กระบวนการผลิตเนื้อและกระดูกป่นนั้นมักจำเป็นที่จะต้องใส่สารเคมีลงไป ไม่ว่าจะเป็นสารเคมีที่ใช้เพื่อป้องกันการเหม็นหืน ซึ้งโดยทั่วไปแล้วสารที่ใช้นั้นคือ BHA (butylated hydroxyanisole) and BHT (butylated hydroxytoluene) สารเคมีทั้ง 2 ชนิดนี้เป็นอันรู้กันโดยทั่วไปว่าเป็นตัวการให้เกิดปัญหา ตับและไตทำงานได้ไม่เป็นปกติ และถูกสงสัยว่าเป็นตัวการของสารก่อมะเร็งได้ สารตะกั่วก็มักจะถูกตรวจพบสม่ำเสมอในอาหารสัตว์แม้ว่าอาหารเหล่านั้นทำมาจาก เนื้อและกระดูกป่นก็ตาม สถาบันเทคโนโลยีของรัฐMassachusetts ได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับปริมาณสารตะกั่วในอาหารสัตว์พบว่า แมวที่มีน้ำหนัก 4.5 กก.ที่เลี้ยงด้วยอาหารสำเร็จรูปนั้นได้รับสารตะกั่วในปริมาณที่มากกว่าเกณฑ์ ที่คิดว่าสามารถก่อให้เกิดอันตรายแก่เด็กได้
ข้าพเจ้าได้ทำการ ฝึกฝนในเรื่องตัวยาของสัตว์เล็กมากว่า 25 ปี ทุกๆวันข้าพเจ้าจะพบเห็นการบาดเจ็บหรือตายต่างๆที่เกิดจากการโฆษณาชวนเชื่อ ของอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยง แต่ศาสดาจารย์ ผู้สอนในสถาบันค้นคว้าตัวยาสำหรับสัตว์ที่มีส่วนได้รับประโยชน์จากเหล่า บรรดาอุตสาหกรรมเหล่านี้ ได้ให้ความสนใจในเรื่องคุณภาพร่างกายของสัตว์ที่เป็นเพื่อนร่วมโลกของเรา น้อยเหลือเกิน
* บทคำเตือนส่งท้ายนี้: บรรดาเนื้อและกระดูกป่นที่ทำมาจากวัตถุดิบที่ไม่เหมาะแก่การนำมาให้มนุษย์ บริโภคนั้น จะถูกนำมาแปรสภาพนำมาเป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ปีก ซึ่งหมายความว่าเนื้อและกระดูกป่นที่ยังเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัยใน แหล่งที่มาและคุณภาพนั้นอาจจะถูกนำมาเลี้ยงสัตว์ ที่เรานำมาบริโภคต่อไปก็เป็นได้
(Dr Belfield is a graduate of Tuskegee Institute of Veterinary Medicine and is now in private practice in San Jose, California. Dr Belfield established the first orthomolecular veterinary hospital in the US. He is co-author of The Very Healthy Cat Book and How to Have a Healthier Dog. This article first appeared in Let
-----------------------------------------------------------------------
3. สภาพภายในของโรงงานหลอมสกัดโปรตีน (by Gar Smith)
อุตสาหกรรม แปรรูปหลอมสกัดโปรตีนเหล่านี้ เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าเป็นอุตสาหกรรมเงียบ ทุกๆปีในสหรัฐอเมริกา โรงงานเหล่านี้จะทำการกำจัดของเสีย ซึ่งก็คือ ซากสัตว์ตาย, ไขมันและเนื้อที่เน่าเสีย มากกว่า 12.5 ล้านตันต่อปี
ใน บัลติมอร์ เมื่อได้มีการเข้าเยี่ยมชมและรายกายสภาพภายในของโรงงานเหล่านั้นพบว่า ภายในภาชนะที่ใช้เพื่อบดเนื้อเยื่อก่อนที่จะทำการป่นนั้น ได้มีการบรรจุส่วนผสมต่างๆซึ่งมีตั้งแต่ “ซากศพสุนัข, แมว, แรคคูน, กวาง, หมาป่า, งู ไปจนถึงลูกช้างในคณะละครสัตว์”
ทุกๆเดือน คอกสัตว์ของเมืองบัลติมอร์ ส่งซากสัตว์ตาย มากกว่า 1,824 ตัว แก่โรงงานหลอมสกัดโปรตีนเหล่านั้น ปีที่ผ่านมาโรงงานได้ทำการแปรรูปวัตถุดิบที่เน่าเปื่อย 150 ล้านปอนด์ไปเป็นไขมัน , เนื้อและกระดูกป่น จำนวน 80 ล้านปอนด์ เมื่อสมัย 30 ปีที่แล้ว การหลอมสกัดโปรตีนส่วนใหญ่นั้นมาจากตลาดเล็กๆและโรงฆ่าสัตว์ แต่ในปัจจุบันการเพิ่มจำนวนของบรรดาร้านอาหารฟาสท์ ฟูด เกือบครึ่งของวัตถุดิบเหล่านั้นคือน้ำมันที่อยู่ในครัว และน้ำมันที่ใช้สำหรับการทอดอาหาร
การนำซากสัตว์ต่างๆหมุนเวียนกลับ มาใช้ใหม่ในรูปของอาหารสัตว์นั้น “เป็นเพียงส่วนเล็กมากๆของธุรกิจ และเราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องนำมาเป่าประกาศ” นี่คือคำบอกเล่าของ นายสมิทธ์ กรรมการเจ้าของโรงงานที่ชื่อว่า Valley Proteins ที่ได้บอกกับทีมงานของเรา การที่โรงงานได้ทำการแปรรูปสัตว์เหล่านี้ เป็นเหมือนการบริการสังคม ไม่ใช่การแสวงหากำไรใดๆทั้งสิ้น นาย สมิทธ์กล่าว “พวกซากสัตว์เลี้ยงเหล่านั้นแทบจะไม่ได้มีปริมาณโปรตีนหรือไขมันอะไรเลย..., มันเหมือนเป็นเพียงกลุ่มเส้นผมกลุ่มหนึ่งในบรรดาวัตถุดิบที่คุณต้องแปรรูป เท่านั้นเอง
หนังสือ City Paper ได้มีการรายงานโรงงานที่ตรวจพบแห่งนี้ได้ขายวัตถุดิบที่ถูกแปรรูปไปแล้วนั้น ให้แก่บริษัท Alpo, Heinz and Ralston-Purina อย่างไรก็ตามโรงงานแห่งนี้ได้ยืนยันว่าทางโรงงานนั้นได้มีการแบ่งแยกไลด์การ ผลิตออกเป็น 2 กลุ่ม อย่างชัดเจนคือ ไลด์แรกนั้นมีไว้สำหรับเนื้อและกระดูกที่สะอาด ส่วนไลด์ที่สองนั้นมีไว้สำหรับซากของบรรดาสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่า แต่ถึงกระนั้นทางโรงงานก็ได้ทำการรายงานว่า วัตถุดิบที่เป็นโปรตีนที่ได้นั้นก็มาจากวัตถุดิบของทั้ง 2 ไลด์มาผสมกัน ดังนั้นเนื้อและกระดูกป่นที่ได้ผลิตจากโรงงานแหล่งนี้มีส่วนผสมที่ทำจาก สัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่ารวมอยู่ด้วย และประมาณ 5% ของสินค้านี้จะถูกส่งขายไปยังบริษัทผลิตอาหารสัตว์ชนิดเม็ด
ในปี 1991 USDA ได้รายงานว่า ประมาณ 7.9 ล้านล้านปอนด์ของเนื้อและกระดูกป่น, เลือดป่น และขนนกป่นที่ได้ถูกผลิตขึ้นมาในปี 1983, 34% ของวัตถุดิบจำนวนดังกว่าจะถูกใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์, 34 % จะใช้เป็นอาหารสัตว์ปีก, 20% จะกลายเป็นอาหารหมู และอีก 10% จะใช้ในการเลี้ยงโคกระบือ
ท้ายสุดนี้หน่วยงาน TSE (Transmissible spongiform encephalopathy) ก็ได้มีการคาดการณ์ว่า จากที่เกิดเหตุการณ์โรควัวบ้าระบาดอยู่นั้น อาหารหมูและไก่มีความเสี่ยงที่จะมีผสมผสมของเชื้อโรคนี้ และพบว่าอาหารสำเร็จรูปของสัตว์เลี้ยงตามบ้านเรือนนั้นมีความเสี่ยงเกี่ยว กับเชื้อโรคนี้มากกว่า 3 เท่าของความเสี่ยงของเนื้อแฮมเบอเกอร์ของมนุษย์
(Gar Smith is Editor of Earth Island Journal.)
------------------------------------------------------------------------
4. ด้านมืดของการรีไซเคิล [Author's name withheld]
(เดือน กุมภาพันธ์ ปี1990, San Francisco Chronicle ได้มีการออกข่าวเกี่ยวกับเรื่องที่น่าขยะแขยงที่ว่าสุนัขและแมวร่อนเร่รวม ทั้งสัตว์อื่นๆจะถูกจำกัดและแปรสภาพไปเป็นเนื้อและกระดูกป่นที่ใช้เป็นส่วน ผสมของอาหารสัตว์) ตามพื้นของโรงงานแปรรูปเนื้อและกระดูกป่นจะถูกกองสุมไปด้วยวัตถุดิบที่จะถูก ใช้ในการแปรสภาพซึ่งก็คือ ศพสุนัขและแมวนับพันตัว, ซากอวัยวะส่วนหัวและกีบเท้าของโคกระบือ แกะ หมู และม้า, หนู, แรดคูน ฯลฯ ทั้งหมดนี้จะถูกรอเพื่อนำเข้าสู่ประบวนการผลิต โดยนำผ่านความร้อนถึง 90 องศา เพื่อหล่อหลอมรวมกันภายในภาชนะที่สูงถึง 10 ฟุต โดยกระบวนการดังกล่าวจะมีกรรมวิธีดึงเอาความชื้นและไขมันออกมา ซึ่งโรงงานประเภทนี้จะมีลักษณะเหมือนครัวขนาดใหญ่ โดดจะมีหัวหน้าพ่อครัวทำการผสมวัตถุดิบต่างๆให้ได้ตามอัตราส่วนที่ตั้งไว้ ระหว่างซากหมู, ซากปศุสัตว์, ซากพวกสัตว์ปีก และของเสียหรือของที่ถูกคัดทิ้งจากซุปเปอร์มาเก็ต
หลังจากนั้นทั้งหมดจะถูกตัดซอยออกเป็นเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อย หลังจากนั้นทั้งหมดจะถูกนำไปต้มที่ความร้อน 280 องศาเป็นเวลา 1 ชม. หลังจากนั้นก็จะผ่านกระบวนการหุงต้มต่อไปเรื่อยไม่มีหยุดจนเนื้อทั้งหมดถูก หล่อหลอมละลายเข้าด้วยกันจนเป็นเหมือนซุปร้อนๆ ซึ่งระหว่างกระบวนการดังกล่าวนี้ ไขมันสัตว์ก็จะแยกตัวออกมาอยู่บนผิวชั้นบนแล้วก็จะถูกตักแยกออกไป ส่วนพวกเนื้อและกระดูกที่เหลือก็จะถูกส่งผ่านเพื่อจะทำการดึงความชื้นแล้วทำ ให้กลายเป็นผงต่อไป หลังจากนั้นทั้งหมดก็จะถูกส่งผ่านเครื่องเขย่าเพื่อคัดแยกเศษขนหรือกระดูก ชิ้นที่ใหญ่เกินไปออกมา โดยเมื่อกระบวนการทั้งหมดเสร็จสิ้น วัตถุดิบสุดท้ายที่ได้ก็จะกลายเป็น พวกไขมันสัตว์, เนื้อและกระดูกป่น
*ส่วนผสมของเนื้อสัตว์*
วารสาร การวิจัยของสัตวแพทย์ประเทศอเมริกาได้อธิบายว่า การรีไซเคิลเนื้อและกระดูกป่นเหล่านี้นั้น จะถูกใช้เป็นแหล่งโปรตีนและสารอาหารอื่นๆในอาหารของสัตว์ปีก, หมู และรวมทั้งอาหารสัตว์เลี้ยง ส่วนไขมันสัตว์นั้นจะถูกใช้ในเพื่อเป็นแหล่งพลังงานในการเลี้ยงสัตว์ ทุกๆวันโรงงานหลอมสกัดเนื้อ จำนวน ร้อยๆแห่งทั่วอเมริกาจะทำการขนส่งวัตถุดิบที่ได้นับล้านตันส่งไปยังฟาร์มปศุ สัตว์, คอกวัวคอกหมู, ฟาร์มเพราะพันธุ์ปลา และโรงงานผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง เพื่อนำไปผสมกับส่วนผสมอื่นๆสำหรับนำไปเลี้ยงสัตว์นับพันล้านตัว ที่จะกลายเป็นอาหารของมนุษย์ในอนาคต
โรงงานหลอมสกัดโปรตีนพวกนี้จะมี ลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันไป โดยออกแบบฉลากแล้วเฉพาะเจาะจงว่าทำมาจากสัตว์ชนิดใด ซึ่งในชื่อฉลากบางอันนั้น จะเขียนว่า: เนื้อสัตว์ป่น, ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสัตว์ (Meat by-products) ซึ่งหมายถึงว่าทำจากชิ้นส่วนใดๆของสัตว์ก็ได้, เนื้อสัตว์ปีกป่น, ไขมันปลา, ไขมันไก่ ฯลฯ
อย่างไรก็ตามโรงงานหลอมสกัดโปรตีนพวกนี้มีคุณค่าอย่าง มากให้กับโลกของเรา เพราะพวกเค้าเหล่านั้นได้ รีไซเคิลซากสัตว์ ถ้าปราศจากโรงงานเหล่านี้แล้ว บ้านเมืองของเรานั้นจะเต็มไปด้วยความเสี่ยง เชื้อไวรัส, แบคทีเรียหรือเชื้อโรดต่างๆที่เกิดจากซากสัตว์ที่เน่าเปื่อยเหล่านั้น ที่อาจจะแพร่กระจายแล้วมาถึงประชาการมนุษย์ของโลกเรา
*ภัยด้านมืด*
แม้ ว่าความต้องการเกี่ยวกับส่วนผสมที่จะใช้ในการเลี้ยงสัตว์มากเพียงใดนั้น แต่ก็ยังความซับซ้อนซ่อนอยู่ในกระบวนการผลิตอาหารไปจนถึงการกำจัดของเสียที่ มีส่วนเกี่ยวข้องที่จะก่อให้เกิด ภัยด้านมืดจากโรงงานหลอมสกัดโปรตีนเหล่านั้น ซึ่งก็คือการที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงกระบวนการเกิดของเสียที่เป็นพิษได้
ซาก สัตว์ตายนั้นถูกประกอบไปเป็นส่วนผสมหลักๆอันเป็นที่ไม่ต้องการ ซึ่งยาฆ่าแมลงนั้นจะถูกใช้ในกระบวนการจัดการปศุสัตว์ที่มีพิษ, และสารจำพวกดีดีทีก็จะถูกนำมาใช้ในจัดการกับพวกปลาแมคคาเรลและทูน่า จากบริเวณชายฝั่งตะวันตกในการผลิต น้ำมันปลา
เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะสัตว์ที่ใช้เป็นวัตถุดิบนั้นจะถูกส่งลำเลียงไปพร้อมๆกับหมัดและเห็บรวม ทั้งปรสิตอื่นๆ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องผสมยาฆ่าแมลงลงไปด้วย นอกจากนี้ไม่ว่าจะเป็นสารพิษเจือปนต่างๆหรือแม้กระทั่งสารจำพวกโลหะหนักที่ ติดมาจาก ป้ายชื่อสัตว์เลี้ยง, เข็มฉีดยา ฯลฯ
นอกจากนี้ แม้กระทั่งพลาสติก แพ็คถาดที่บรรจุเนื้อสด, ปลา, ไก่ที่หมดอายุจากซุปเปอร์มาร์เกต พลาสติกใสและอื่นๆ ก็จะถูกลำเลียงส่งไปพร้อมๆกัน เหตุที่ต้องทำเช่นนี้เพราะมีข้อจำกัดในเรื่องเวลาและกำลังคน ดังนั้นทุกๆอย่างก็จะถูกหล่อหลอมรวมเข้าด้วยกัน
การพิจารณาตัดสินการหลอมสกัดเพื่อแปรสภาพวัตถุดิบ
เนื่อง จากปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ ต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านแรงงานบีบบังคับทำให้โรงงานเหล่านี้จำเป็นที่จะต้อง หลีกเลี่ยงและหาทางกำจัดค่าใช้จ่ายต่างๆที่สิ้นเปลืองออก ดังนั้นการที่จะต้องจ้างแรงงานคนมานั่งแกะหรือคัดแยกเศษพลาสติกและวัสดุ อื่นๆออกจากวัตถุดิบนั้นเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ทุกสัปดาห์หีบห่อพลาสติกของเนื้อสัตว์นับล้านๆห่อจะถูกนำเข้าสู่กระบวนการ แปรสภาพนี้ และจะกลายเป็น 1 ในส่วนผสมที่ไม่ต้องการที่จะใช้ในการให้อาหารสัตว์
หน่วยงานที่คำนึง ถึงสภาพแวดล้อมมากที่สุดในสหรัฐนั้นคือรัฐ California ซึ่งที่นี่ได้มีการตรวจตราและตรวจสอบส่วนผสมที่ใช้เลี้ยงอาหารสัตว์อยู่เป็น ประจำในทุกๆ 2.5 เดือน การตรวจสอบนี้ทำเพื่อเช็คดูว่าส่วนประกอบที่เขียนอยู่บนฉลาก เช่น ค่าเปอร์เซ็นต์ของค่าโปรตีน, แคลเซี่ยมและฟอสฟอรัส นั้นได้ตรงกับความเป็นจริงหรือไม่ หรือค่าเปอร์เซ็นต์ที่ได้นั้นได้ผ่านเกณฑ์ที่รัฐได้ตั้งไว้หรือไม่ อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบในเรื่องยาฆ่าแมลงและสารพิษอื่นๆนั้นมักจะไม่ผ่าน เกณฑ์
ปัญหาสารพิษปนเปื้อนตกค้างหลังจากผ่านประบวนการผลิตเหล่านี้ เป็นเรื่องที่ยุ่งยากซับซ้อนต่อการดูแลแก้ไข ซึ่งโรงงานผลิตหลอมสกัดไขมันสัตว์ เนื้อและกระดูกป่นเหล่านี้ เป็นหุ้นส่วนที่แฝงตัวอยู่เงียบๆในวงจรอาหารของเรา เพราะพวกเนื้อและกระดูกป่นจะเป็นส่วนประกอบในการเลี้ยงสัตว์ แล้วสัตว์เหล่านั้นก็จะกลายมาเป็นอาหารให้เราบริโภคกันอีกทอด ส่วนอวัยวะชิ้นส่วนหรือสัตว์ที่ไม่ผ่านเกณฑ์การตรวจสอบว่าเหมาะที่จะนำมา ประกอบอาหารนั้นก็จะแปรเปลี่ยนไปสู่โรงงานหลอมสกัดโปรตีนเพื่อที่จะนำมาเป็น ไขมันสัตว์ เนื้อและกระดูกป่นต่อไปเรื่อยๆ ดังนั้นปัญหามลภาวะสารพิษที่ปนเปื้อนจากกรรมวิธีการรีไซเคิลเหล่านี้นับวัน ยิ่งดูยุ่งยากและซับซ้อนมากขึ้นทุกๆวัน ทำให้เราควรจะตระหนักถึงตำแหน่งจริงๆที่เราอยู่ภายในสภาพแวดล้อมแห่งนี้ ที่ซึ่งจะไม่มีผู้ล่าอีกต่อไป เพราะพวกเราทุกคนนั้นได้ตกกลายเป็นเหยื่อของเทคโนโลยีที่อยู่ในวงจรอาหารของ เราเอง
ความเป็นไปได้ที่มีสารพิษที่ได้จากการผลิตน้ำมันปิโตรเลียมตกค้างอยู่ในอาหารของพวกเรานับวันยิ่งเป็นความจริงมากยิ่งขึ้นทุกๆวัน
(First published in Earth Island Journal, Fall 1990.)
-----------------------------------------------------------------------
นอกจากนี้ รายชื่อของลิงค์ที่มีต่อไปนี้ เป็นข้อมูลเพิ่มเติมที่คุณควรจะอ่านและตัดสินใจว่าอะไรที่เหมาะสมที่จะนำมา เป็นอาหารสัตว์เลี้ยงหรือเพื่อนที่แสนดีที่สุดของคุณในอนาคต “มีรายงานจาก FDA ประเทศสหรัฐอเมริกา ว่าภายในอาหารสัตว์นั้น มีส่วนผสมของยาที่ใช้ในการทำให้สัตว์นั้นจากไปอย่างสงบที่มีชื่อว่า PENTOBARBITAL ซึ่งยาชนิดนี้ถูกคาดการณ์ว่ามีอยู่ในอาหารสุนัขชื่อดังหลากหลายยี่ห้อ เนื่องจากความจริงที่ปรากฏว่าภายในโรงงานผลิตอาหารสัตว์เหล่านั้นได้นำสัตว์ ที่ถูกฆ่าตายอย่างสงบนั้นมารีไซเคิลกลับมาเป็นส่วนผสมของอาหารสัตว์เลี้ยง!!
*~อาหารสุนัข~*
แปลจากเอกสารต้นฉบับภาษาเยอรมัน โดย ท.พ. ชวาล สมศิริ
อาหาร เป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุด ของการมีสุขภาพที่ดี แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ผู้เลี้ยงสุนัขส่วนมากได้มอบความรับผิดชอบในการจัด อาหารให้แก่ผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูปสำหรับสุนัข อาหารสำเร็จรูปให้ทั้งความสะดวกสบายและง่ายต่อการให้สุนัข เพียงแค่ไปซื้ออาหารสุนัขสำเร็จรูปมาหนึ่งกระสอบ โดยดูตามฉลากข้างกระสอบว่ามีสารอาหารอยู่กี่เปอร์เซ็นต์ ดีกว่าการมาศึกษา ขวนขวายเอาเองว่าควรจะให้อาหารอะไรดีกับสุนัขที่เลี้ยง ผลจากการให้อาหารประเภทนี้ ซึ่งมีส่วนประกอบของเมล็ดธัญพืช ทำให้ประชากรสุนัขมีอาการเจ็บป่วยอย่างมากมาย ปรากฏอย่างชัดเจน เช่น โรคมะเร็ง อาการแพ้ การอักเสบของตับอ่อน
( Pancreatitis), Pancrease insufficient, โรคผิวหนัง, โรคตับ และไต, ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง, การเจริญเติบโตผิดปกติ และสภาวะการตั้งครรภ์ยาก ซึ่งไม่สามารถนำมาอธิบายได้กับการทำการบำรุงพันธุ์สัตวที่มากเกินไป (Overbreeding)
ร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นของคนหรือสัตว์ ต้องการเวลาอย่างน้อย 10,000 ปี จึงจะสามารถปรับการทำงานให้สอดคล้องกับ การเปลี่ยนแปลงอาหารแบบสิ้นเชิง
สุนัขจะสามารถปรับตัว ให้เข้ากับอาหารสำเร็จรูปได้ ก็ต้องใช้เวลา 60 ปี และในช่วงเวลา 60 ปี นี้ เห็นได้ชัดว่าสุนัขที่มนุษย์นำมาเลี้ยงมีสุขภาพทั่วไปที่เลวลงซึ่งมีผลโดย ตรงจากอาหารที่ใช้เลี้ยง
เจ้าของสุนัข ผู้ผสมพันธ์สุนัข และ สัตวแพทย์หลายท่านมีความเห็นว่าอาหารสำเร็จรูปเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ สุขภาพของสุนัข เลวลงกว่าในอดีตและพยายามหาทางเลือกที่จะมาใช้แทนอาหารสำเร็จรูป ทางเลือกทางหนึ่งที่กำลังเป็นที่กล่าวขวัญถึงในระดับโลกก็คืออาหาร BARF
**BARF คืออะไร?**
BARF เป็นชื่อของอาหารที่ถูกนำมาใช้ โดยสุภาพสตรีชาว อเมริกันชื่อ Debbie Tripp (ข้อมูลจาก Internet กล่าวว่าสัตวแพทย์ชาวออสเตรเลียชื่อ Dr. Ian Billinghurst เป็นคนแรกที่เขียนบรรยายไว้ในหนังสือของเขาชื่อ “Give Your Dog A Bone.” ผู้แปล )
Debbie Tripp ได้ให้อาหารสด และดิบแก่สุนัขของเธอ เธอจึงเรียกมันว่า Born Again Raw Feeders (BARF) หรือ Bones And Raw Foods ต่อมาก็มีการให้ความหมาย ของอาหารประเภทนี้ว่า Biologically Appropriate Raw Foods BARF ในภาษาอังกฤษแบบชาวบ้านแปลว่า “อาเจียน” ผู้เขียนซึ่งเป็นชาวสวิสได้แปลออกมาเป็นภาษาเยอรมันว่า Biologisches Artgerechtes Rohes Futter ซึ่งก็คืออาหารดิบนั่นเอง
สรุป ได้ว่า BARF มีความหมายต่างกันสำหรับคนหลายคน สำหรับผู้เขียน Swanie Simon เธอหมายถึงการให้อาหารสดและดิบแก่สุนัข มิได้หมายถึงการจัด โปรแกรมการให้อาหาร หรืออีกนัยหนึ่งหมายถึงการจัดการให้อาหารเลียนแบบสุนัขที่เป็นสุนัขป่า
**อาหารสำเร็จรูปคืออะไร?**
เจ้า ของสุนัขน้อยรายที่จะทราบว่า ในอาหารสำเร็จรูปที่ท่านใช้เลี้ยงสุนัขของท่านนั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง เจ้าของสุนัขหลายท่านทราบว่ามี สารเคมี ยากันบูด สารปรุงแต่งกลิ่นและสี ที่ใส่ลงไปในอาหารสุนัข ในยุโรปขณะนี้มีอาหารสำเร็จรูปหลายยี่ห้อ ที่ไม่มีสารดังกล่าวมาแล้วข้างต้นผสมอยู่ขายด้วย แต่ไม่มีคำอธิบายว่า การที่อาหารสำเร็จรูปเหล่านี้ สามารถเก็บไว้ได้โดยไม่เน่าอย่างน้อยที่สุดถึง 12 เดือนนั้นบริษัทผู้ผลิตทำอย่างไร? ความจริงก็คือ บริษัทผู้ผลิตทำการซื้อวัตถุดิบที่จะมาทำอาหารสำเร็จรูปเหล่านี้ที่มียากัน บูดใส่ลงไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องระบุส่วนประกอบบนถุงอาหารเหล่านี้ให้ผู้ บริโภคทราบ
นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่ควบคุมไม่ถึงเช่น แหล่งที่มาและคุณภาพของวัตถุดิบเหล่านี้ แม้แต่อาหารสำเร็จรูปยี่ห้อดังก็ยังมีการใช้ชิ้นส่วนของสัตว์ที่มีสารพิษ (Stickstoff) อยู่บดลงไปด้วยเพื่อจะได้สามารถเพิ่มค่าของโปรตีนให้สูงขึ้น (มีผลให้อาหารยี่ห้อนั้นเข้าไปอยู่ในเกรดที่สูงขึ้น) เช่น ขาไก่ จงอยปากไก่ ขนไก่ อุจจาระ ปัสสาวะ แป้งที่ได้จากเมล็ดธัญพืช เศษผัก เลือดวัว หนังวัว เท้าหรือกีบวัว เศษเขา อัณฑะวัว ซึ่งมีผลให้ย่อยได้ยาก และไม่มีประโยชน์ต่อสุนัข
อาหารสำเร็จรูปส่วนใหญ่ประกอบด้วย เมล็ดธัญพืชป่นถึง 60-90 เปอร์เซ็นต์
ส่วนประกอบตัวต่อมาก็คือ เนื้อบด (ที่บดแทรกอยู่ในเมล็ดธัญพืชแล้ว)
ส่วน ประกอบเช่น วิตามิน เอนไซม สารประกอบกรดอะมิโน กรดไขมันที่จำเป็น จะถูกทำลาย เปลี่ยนแปลงหรือทำให้หมดคุณสมบัติไป โดยความร้อนที่ใช้ในขบวนการผลิต ตรงกันข้ามยาสลบที่ใช้ และยาอื่นๆที่ตกค้างจะไม่ถูกทำลายด้วยความร้อน และไม่ถูกตรวจค้นหา ในยุโรป เมื่อสัตว์เลี้ยงตายลงหรือที่จำเป็นต้องฉีดยาให้หลับ ไม่มีใครถามว่าซากสัตว์เหล่านี้ไปอยู่ที่ไหน คำตอบก็คือมันจะถูกบดให้เป็นแป้งทั้งเนื้อและกระดูก ที่ซ้ำร้ายก็คือคนงานที่ทำงานในโรงงานเหล่านี้มักง่ายไม่เอาปลอกคอออก รวมทั้งพลาสติกที่ใช้ห่อผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ที่หมดอายุ และขายไม่หมด ก็จะถูกโยนลงสู่เครื่องบดด้วย นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบที่ใช้เป็นตัวเพิ่มมวล ที่ทำให้อุจจาระของสุนัขที่ถ่ายออกมามีสีเข้มขึ้น แข็งขึ้น และอาหารจะอยู่ในลำไส้ได้นานขึ้น
บริษัทผู้ผลิตทำ อาจใช้คำว่า เซลลูโลส (Cellulose) แต่ความจริงก็คือขี้เลื่อยนั้นเอง ที่ใส่ลงไป เซลลูโลส เป็นสารประกอบ Polysaccharide ที่ ได้จากพืช ไม่ละลายน้ำ แต่ละลายได้ในกรดกำมะถันเข้มข้น (Phosphoric acid) เป็นสารประกอบอยู่ในผนังเซลล์ของพืช เซลลูโลสสามารถย่อยได้โดยสัตว์กินพืชที่มีเอนไซม Cellulase ดังนั้นมันจึงไม่เหมาะที่จะเป็นอาหารสุนัข
**สุนัขเป็นสัตว์กินเนื้อ Carnivora**
เหมือน กับบรรพบุรุษ ของมัน สุนัข หรือ หมาป่า (Wolf) เป็นสัตว์กินเนื้อ แต่ หมาป่ามิได้กินเนื้ออย่างเดียว มันกิน ผลไม้ ใบไม้ หญ้า รากพืช แมลง และอุจจาระของสัตว์กินพืชด้วย ส่วนใหญ่แล้วหมาป่ากินเนื้อสัตว์ป่าขนาดใหญ่ และกินทุกชิ้นยกเว้นกระดูกขนาดใหญ่ ขน หนัง และ บางส่วนของสิ่งที่อยู่ในกระเพาะและลำใส้
จากการกินสัตว์ป่าทั้งตัวทำให้ หมาป่าได้รับสารอาหารครบทุกหมู่ ไม่ว่าจะเป็น โปรตีน ไขมัน วิตามิน เกลือแร่ เอนไซม และไฟเบอร์
สุนัขมีฟันที่มีลักษณะ ของสัตว์กินเนื้อ มีฟันเขี้ยวที่แหลมใหญ่แข็งแรงเพื่อใช้กัดเหยื่อ มีฟันกรามที่คมและสบแบบกรรไกร เพื่อใช้กัดเนื้อ และกระดูกได้อย่างสบายซึ่งตรงกันข้ามกับสัตว์กินพืช น้ำลายของสุนัขมีความเข้มข้นสูง แต่มีปริมานน้อยมาก สุนัขไม่มีเอนไซมที่ใช้ย่อยในน้ำลาย ๆ จะทำหน้าที่เพียงเป็นตัวหล่อลื่น ให้สุนัขกลืนอาหารได้สะดวก ซึ่งส่วนใหญ่พวกมันมักจะกลืนอาหารชิ้นใหญ่เสมอ
เมื่อ เทียบกับสัตว์กินพืช สุนัขมีกระเพาะอาหารที่มีขนาดใหญ่มาก เท่ากับ 8 เท่าของกระเพาะอาหารของม้า (เมื่อเทียบกันโดยสัดส่วนตามน้ำหนักตัว) กรดใน กระเพาะอาหารของสุนัขมีปริมาน กรดเกลือมากเป็น 10 เท่าของมนุษย์ ในกระเพาะที่มีอาหารยังสามารถวัดค่าสภาพความเป็นกรดด่าง pH ได้น้อยกว่า 1 ในขณะที่ค่าสภาพความเป็นกรดด่าง pH ในกระเพาะอาหารของมนุษย์วัดได้ 4-5
การผลิตน้ำย่อยในสุนัขเกิดจากการกระตุ้นด้วยอาหารประเภทเนื้อ
ลำ ไส้ของสุนัข มีขนาดสั้นมากเมื่อเทียบกับความยาวลำไส้ของสัตว์กินพืช การย่อยของเนื้อและกระดูกในสุนัขจะใช้เวลาไม่เกิน 24 ชม. สัตว์กินพืชใช้เวลาในการย่อยอาหาร 4-5 วัน นั่นคือบทสรุปที่ว่า สุนัขเป็นสัตว์กินเนื้อการให้สุนัขกินอาหารที่มีองค์ประกอบเป็นเมล็ดพืช จึงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
อาหารสำเร็จรูปที่มีองค์ประกอบเป็นเมล็ดพืช ทำให้เกิดปัญหาบางอย่างกับสุนัข มีการผลิตน้ำย่อยในกระเพาะอาหารของสุนัขไม่เพียงพอ เนื่องจากขาดการกระตุ้นด้วยอาหารประเภทเนื้อ จึงทำให้เกิดแบคทีเรียในกระเพาะเพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดขบวนการหมักเกิดขึ้น เกิดอาการท้องเสีย การบิดตัวของกระเพาะอาหาร และพยาธิ์ ตับอ่อนจึงต้องทำงานหนัก ผลิตน้ำย่อยออกมามากขึ้นเพื่อมาทำการย่อย
อาหาร ที่มีองค์ประกอบเป็นเมล็ดพืช ดังนั้นเราจึงเห็นได้ว่าระบบการย่อยอาหารของสุนัชมิได้ออกแบบมาเพื่อการย่อย อาหารที่มีองค์ประกอบเป็นเมล็ดพืชในปริมานมากๆ การต้มหรือการใช้ความร้อนปรุงอาหารสุนัขที่เป็นเนื้อ จะทำให้สารอาหารประเภทโปรตีนส่วนใหญ่ ถูกเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ไม่เกิดประโยชน์ ต่อสุนัข (ไม่สามารถนำไปใช้ได้)
อาหารประเภทโปรตีนเมื่อผ่านการต้มหรือการใช้ความร้อนจะย่อยยาก
และสูญเสียเกลือแร่ไปอย่างมากมาย แม้ว่าจะให้น้ำต้มกระดูกลงไปด้วยก็ยังไม่สามารถทดแทนสิ่งที่สูญเสียไปได้
สุนัขมีความต้องการ อาหารประเภทโปรตีนต่างจากพวกสัตว์กินพืช และโปรตีนเหล่านี้ มักจะเป็นส่วนประกอบของเนื้อสัตว์สดๆ
เมื่อ ขาดโปรตีนในเนื้อสัตว์สดๆ สุนัขก็จะไม่สามารถที่จะสร้าง เนื้อเยื่อที่แข็งแรงและ ภูมิคุ้มกันโรคได้เลย ส่วนประกอบที่เป็นไขมันในอาหารสำเร็จรูปมักจะถูก ปนด้วย ยากันบูด เช่น Ethoxiquin, BHA and BHT สารกันบูดเหล่านี้ จะไปลดการผลิตเม็ดเลือดขาว ทำให้ภูมิคุ้มกันโรคตกต่ำลง การดูดซึม Glucose ถูกกีดขวาง สารกันบูดเหล่านี้ถูกสงสัยว่าจะเป็นตัวการทำให้เกิดมะเร็ง จึงไม่ให้ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารของมนุษย์
กรดไขมัน Omega 3 พบได้น้อยในอาหารสำเร็จรูป เนื่องจากไม่สามารถที่จะทำให้มันเก็บไว้ได้นานๆ สุดท้ายนี้ขอย้ำว่าอาหารที่ถูกต้มหรือการใช้ความร้อนปรุงเป็นอาหารที่ไม่มี ประโยชน์ ไม่เหลือสารอาหารที่มีประโยชน์อยู่เลย (โปรตีน ไขมัน วิตามิน เกลือแร่ เอนไซม ) หรืออยู่ในสภาวะที่ไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อีกต่อไป ผู้ผลิตบางกลุ่มได้พยายามใส่สารอาหารที่มีประโยชน์เหล่านี้ตามลงไปในขณะ บรรจุถุง แต่สารต่างๆที่ใส่ลงไปนี้มักเป็นสารประกอบทางเคมีราคาถูกที่ร่างกายสุนัขไม่ สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ บ่อยครั้งที่ สุนัขเจ็บป่วย Immune system ของสุนัขอ่อนแอลง เนื่องจากการขาด เอนไซม กรดอะมิโน สารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) และกรดไขมันที่จำเป็น ระบบการสร้างน้ำย่อยจะทำงานผิดปกติ การที่สุนัขมีสุขภาพในช่องปากไม่ดี จะทำให้มีการสะสมของหินน้ำลาย และมีการอักเสบเรื้อรังของเหงือก ซึ่งจะเป็นสาเหตุสำคัญ ที่จะทำให้ Immune system ของสุนัขอ่อนแอลง (ซึ่งได้รับการยืนยันจาก ผลการวิจัย)
ในขณะ นี้ได้มีการนำอาหารสำเร็จรูปชนิดต่างๆ(Diet Dog Food) เพื่อใช้ในการรักษาโรค ที่เกิดจากการให้กินอาหารสำเร็จรูปออกจำหน่าย (เมื่อฟังดูจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ตลกมากๆ)
**แนวโน้มในขณะนี้**
มี เจ้าของสุนัขและเจ้าของคอก ได้ให้ความสนใจเรื่องการให้อาหารสุนัขเพิ่มมากขึ้นหลายคนให้ความสนใจต่อการ ให้อาหารสด (BARF) มากขึ้น อ่านรายละเอียดในหนังสือของ Juliette de Bairacli Levy และหนังสือใหม่ๆ ที่ออกวางตลาด
Juliette de Bairacli Levy เป็นสุภาพสตรีท่านแรกที่กล่าวถึงอันตรายจากการเลี้ยงสุนัขด้วยอาหารสำเร็จ รูป (ระหว่างปี 1950-1960) และอันตรายจากการฉีดวัคซีน และได้แนะนำให้เลี้ยงสุนัขด้วยอาหารสด และดิบแทน ผู้ที่สนับสนุนเธอ (ผู้เพาะเลี้ยงสุนัขกลุ่มน้อย) ได้รายงานผลการทดลองเลี้ยงสุนัขด้วยอาหารสด และดิบว่าทำให้สุนัขมีสุขภาพดี
แนวโน้มแสดงให้เห็นว่ามีผู้สนใจหันมา เลี้ยงสุนัขด้วยอาหารประเภท BARF มากขึ้นและ สุนัขมีสุขภาพดีขึ้นอย่างน่าพิศวง ปัญหาเรื่องผิวหนังหายไป สุนัขมีพลกำลังมากขึ้น สุนัขเพศเมียก็มีการตั้งครรภ์ที่ราบรื่น และมีปัญหาน้อยในการเลี้ยงลูก ลูกสุนัขจะโตช้ากว่า และแข็งแรงกว่า และไม่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ
เลี้ยงสุนัขด้วยอาหารประเภท BARF นั้นก็คือความพยายามในการเลี้ยงสุนัขด้วยอาหารแบบที่สุนัขป่าเคยกิน แต่เราก็ไม่สามารถที่จะกระทำอย่างที่ต้องการได้ ดังนั้นเราจึงต้องมีการศึกษาว่าสุนัขมีความต้องการอาหารอย่างไรบ้างมันคงจะ ไม่ถูกต้องนักที่เราจะให้อาหารสุนัขซ้ำๆแต่เพียงอย่างเดียว เช่นให้เนื้อกินอย่างเดียว จะทำให้สุนัขขาดอาหารได้ นอกจากนี้ยังมีข้อควรคำนึงบางประการ เช่น อายุของสุนัขและสุขภาพของสุนัข สุนัขควรได้รับสารอาหารครบ ในปริมาณที่เพียงพอ ในปัจจุบันนี้เราสามารหาข้อมูลเกี่ยวกับการเลี้ยงสุนัขด้วยอาหารประเภท BARF ได้จาก Web site ต่างๆ ในตอนท้ายของบทความนี้ หรือสอบถามได้จากสัตวแพทย์ (บางท่าน) ที่รุ้เรื่องเกี่ยวกับ BARF
**อคติต่อการเลี้ยงสุนัขด้วยอาหารประเภท BARF**
ผู้ เลี้ยงสุนัขส่วนใหญ่มักไม่ค่อยกล้า ที่จะเปลี่ยนมาสู่การเลี้ยงสุนัขด้วยอาหารประเภท BARF เนื่องจากการที่สัตวแพทย์ และผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูปมักจะกล่าวเตือนถึงความไม่ปลอดภัยของอาหารประเภท นี้ โดยเฉพาะการติดเชื้อพยาธิ์ และ แบกทีเรีย Salmonella ด้วยอาหารสำเร็จรูปเท่านั้นสุนัขจึงจะได้รับสารอาหารครบ
การให้กระดูกแก่ สุนัขอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต อาหารสดมีราคาแพงกว่ามาก และสิ้นเปลืองเวลา ซึ่งเป็นเรื่องไม่จริง ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่าสุนัขเป็นสัตว์กินเนื้อ Carnivora ระบบการย่อยอาหารของสุนัขจึงถูกออกแบบมาเพื่อการย่อยอาหารประเภทเนื้อสด กระดูกสด ไม่ว่าจะเป็น เชื้อ Salmonella แบกทีเรีย กลุ่มอื่นๆ ตลอดจน เชื้อพยาธิ์ ก็จะถูกทำลาย หรือ หยุดยั้งอยู่ที่กระเพาะ กรดในกระเพาะอาหารของสุนัขมีความเข้มข้นสูงมาก และสามารถย่อย กระดูก กระดูกอ่อน และเนื้อได้เป็นอย่างดี มีรายงานการติดเชื้อพยาธิ์น้อยมาก ไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องให้สุนัขได้รับสารอาหารครบ ในการให้อาหารหนึ่งมื้อ เหมือนอย่างที่ผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูปกล่าวเตือน
ความต้องการสารอาหารให้ครบของสุนัข สามารถที่จะจัดให้เกิดความสมดุลย์ได้ในเวลาหลายสัปดาห์เหมือนอย่างที่เกิด ขึ้นจริงๆในธรรมชาติ และเหมือนอย่างที่มนุษย์จัดอาหารให้ตนเอง มันไม่ใช่สิ่งเลวร้ายในการที่สุนัขจะต้องกินอาหารแต่เพียงอย่างเดียวสักระยะ หนึ่ง การเลี้ยงสุนัขด้วยอาหารประเภท BARF นั้นไม่ได้ใช้เวลามากอย่างที่คิด หรือแพงกว่าการเลี้ยงด้วยอาหารสำเร็จรูป
**ข้อดีของอาหารประเภท BARF**
• ไม่มีหินปูนเกาะที่คอฟัน
• กลิ่นตัวดีกว่า
• การติดเชื้อพยาธิ์น้อยกว่า
• มีภูมิคุ้มกันที่ดีกว่า
• อุจจาระมีปริมาณน้อยกว่า
• เอ็นมีความแข็งแรงมากกว่า
• มีกล้ามเนื้อที่ดีกว่า
• อาการเจ็บปวดข้อ (Arthritis) ลดน้อยลง
• มีปัญหาในการเจริญเติบโตน้อยลง
• ปัญหาของการบิดตัวของกระเพาะอาหารลดลง
• ขนสวยขึ้น มีสุขภาพดี และเป็นมันวาว
**ในทางปฏิบัติ **
สุนัขมีความแตกต่างกันไปตามขนาด และ สายพันธ์ ดังนั้นท่านจึงควรที่จะสังเกตุสุนัขของท่านให้ดีถึงความต้องการอาหารของสุนัข
สุนัขบางตัวไม่ต้องการอาหารที่มีส่วนผสมของธัญพืชเลย
สุนัขบางตัวไม่สามารถย่อยอาหารประเภท BARF ได้ในระยะเริ่มต้น
สุนัขบางตัวไม่กินเครื่องใน หรือผักเลย ตารางการให้อาหารนี้ ผู้เขียนต้องการให้ใช้เป็นแนวทางเท่านั้น
การให้เนื้อ ควรให้เป็นชิ้นใหญ่ หรือมีเนื้อติดกระดูก การเคี้ยวจะเป็นการทำความสะอาดฟันไปในตัว (เหมือนของคน…..ผู้แปล)
ไม่ ให้ อาหารที่มีส่วนผสมของธัญพืชพร้อมๆกับอาหารประเภทเนื้อแก่สุนัข นั่นคือควรแยกการให้อาหารออกเป็น 2 มื้อเมื่อท่านต้องการให้อาหารที่เป็น ธัญพืชด้วย เพราะ 1. จะทำให้เกิดลมในท้อง 2. นอกจากนี้ยังทำให้เป็นการแบ่งเบาลดภาระการทำงานของกระเพาะลง (แทนที่จะให้มื้อหนักๆเพียงมื้อเดียว)
1 ครั้งต่อสัปดาห์ ควรให้ Flocken หรือ ผักผสม ตามมาด้วยการหยุดให้อาหาร 1 สรุป คือใน 1 สัปดาห์
• ให้อาหารประเภทเนื้อ 5 วัน
• ให้อาหารที่ไม่มีเนื้อ 1 วัน
• งดอาหาร 1 วัน
ในกรณีที่สุนัขมีอาการหิวในวันที่อดอาหารอาจให้ได้บ้างเล็กน้อย
การให้ผักอาจกระทำได้โดยการ
• แยกให้เป็นมื้อล้วนๆ
• ให้ผสมกับเนื้อ
สุนัข ที่ไม่ชอบกินผัก ท่านอาจใช้เนื้อบด หรือปลาทูน่าผสมลงไป หรือบดตับและผักเข้าด้วยกัน (วิธีนี้ใช้ได้ผลดีในการเลี้ยงลูกให้กินผักด้วย เช่นบดผัก บร๊อกโคลี่ ลงในไข่สดก่อนนำไปเจียว…..ผู้แปล)
**ตัวอย่างอาหาร**
4 มื้อ ให้อาหารเนื้อและกระดูกล้วนๆ
4 มื้อ ให้อาหารเนื้อและกระดูกผสมกับผัก
( ใช้ผัก10-25%, เนื้อและกระดูก 75-90% ส่วนที่เป็น กระดูกควรจะเป็น 10-15% ของมื้ออาหาร แต่ไม่มากกว่า 30%)
4 มื้อ ให้อาหารประเภทธัญพืชและผลิตภัณฑ์นม
**เมื่อให้อาหารประเภทธัญพืชและผลิตภัณฑ์นม**
ธัญพืช และผลิตภัณฑ์นม อาจใช้นมแพะ ผสมกับน้ำแครอท ไข่ 1 ใบ หรือ เนยแข็ง โยเกิรท กล้วย ผลไม้อื่นๆ สุนัขที่มีปัญหาเมื่อกินธัญพืช เช่นมีอาการแพ้ ท่านอาจเอาธัญพืช ออกจากรายการ
สุนัขที่มีอาการแพ้ ป่วยเป็นโรคข้ออักเสบ หรือมะเร็ง ไม่ควรให้อาหารที่มีส่วนประกอบของธัญพืช (Getreide)
ส่วน ผสมที่เป็นธัญพืช (Flocken) ได้แก่ ข้าวโอ๊ต (Hafer Flocken), ข้าวบาเล่ย์ (Gerste), ข้าวฟ่าง (Hirse), ………….(Amaranth), เมล็ดพืชชนิดหนึ่งที่ใช้ทำขนมปังดำในยุโรป (Roggen), เมล็ดข้าวสาลี (Weizenkleie), มะพร้าวขูด (Kokoflocken), ข้าวโพดสดเป็นเม็ด (Maisgries) หรือบดก็ได้,
**เมื่อให้อาหารประเภทเนื้อ และกระดูก**
อาจ ใช้น้ำมันพืชผสมได้ อาหารที่ให้ได้แก่ เนื้อวัว หัวใจวัว ม้ามวัว ไต กระเพาะวัวส่วนต้น (Pansen) กระเพาะวัวส่วนที่สาม ตับ หลอดอาหารวัว กระดูกวัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระดูกอ่อน แกะและส่วนต่างๆของแกะ (เหมือนกับการให้เนื้อและส่วนต่างๆของวัว) ยกเว้นกระเพาะแกะอาหารที่ให้ จากไก่ ได้แก่ ไก่ทั้งตัว คอ หลัง ปีก สดเท่านั้น
อาหารที่ให้ จากปลา ได้แก่ ปลาทั้งตัว สดเท่านั้น
อาหารที่ให้ จากไข่ ทั้งใบพร้อมเปลือก หากสุนัขไม่กินเปลือกอาจบี้ เปลือกให้เป็นชิ้นเล็กๆ
เครื่อง ใน ให้ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์เท่านั้น (สุนัขที่มีอาการป่วยเป็นโรคข้ออักเสบ ไม่ควรให้อาหารจากไก่ และเครื่องใน เพราะจะทำให้อาการป่วยของโรคข้ออักเสบรุนแรงขึ้น……ผู้แปล)
การให้ตับ การให้แต่ละครั้งประมาณ 200-300 กรัม เมื่อสุนัขหนัก 30 กิโลกรัม เนื้อหมู หลีกเลี่ยงการให้เนื้อหมู หรือทำให้สุกเสียก่อน
**เมื่อให้อาหารประเภทผัก**
ควร เป็นผักสด นำมาบด หากต้องการนึ่งไม่ควรให้สุกมาก ผสมด้วย ตับบด โยเกิรท หรือเนยแข็ง น้ำมันพืช 1-2 ช้อนโต๊ะ ( ขอแนะนำน้ำมันดอกทานตะวัน…..ผู้แปล) ผักทุกชนิดที่มีสีเขียวหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไป ที่แนะนำได้แก่ ผักสลัด หัวแครอตขนาดเล็ก (เป็นแครอตพันธุ์หนึ่งในเยอรมัน ใช้ทำสลัด) Zuchini (เป็นพืชคล้ายบวบหรือแตงพันธุ์หนึ่งใช้ทำสลัดหรือทอดกับเนย) บร๊อกโคลี่ กล้า หรือต้นพืชอ่อน (เช่นถั่วงอก) Löwenzahn, Brennessel, Schachtelhalmgras
หลีกเลี่ยง มันฝรั่งดิบ Avocado และหัวหอมใหญ่
**เมื่อให้อาหารประเภทผลไม้**
ผลไม้ที่ให้ได้แก่ แอ๊ปเปิ้ล กล้วย องุ่น ส้มต่างๆ Kiwis อื่นๆ
- สมุนไพร ได้แก่ Seealgenmehl Alfalfa Brennessel Dill Löwenzahn, Borretsch, Petersilie
- น้ำมันที่ให้ ได้แก่น้ำมันตับปลา ( Vitamin A และ D ให้ครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยเฉพาะในฤดูหนาว) น้ำมันพืชต่างๆ
น้ำมันมะกอก Leinsamenöl (น้ำมันที่สกัดจากพืชที่เรียกว่า ลินิน) Borretschöl (น้ำมันพืช……..) Nachtkerzenöl(น้ำมันพืช……..)
Vitamin B Complex เมื่อมี ความเครียด และไม่สบาย
Vitamin C ให้วันละ 100-500 มิลลิกรัม
Vitamin E ให้ครั้งละ 20-80 มิลลิกรัม 3-4 ครั้งต่อ สัปดาห์
ให้เกลือทะเลเล็กน้อย สัปดาห์ละครั้ง
ตารางตัวอย่างอาหารสำหรับสุนัขขนาด 30 กิโลกรัม
ท่านสามารถเปลี่ยนแปลง หรือ สลับมื้อกันได้
ปริมาณอาหารสามารถเปลี่ยนแปลงได้ โดยดูจาก กิจกรรมของสุนัข อายุ สายพันธุ์
**อาหารเสริม **
1-2 ครั้งต่อ สัปดาห์ 1 ช้อนชา น้ำมันตับปลา (Lebertran)
1-2 ครั้งต่อ สัปดาห์ เกลือทะเลเล็กน้อย
3 ครั้งต่อ สัปดาห์ กระเทียม 1 หัว
**ปริมาณอาหาร**
ผักผสม ประมาน 1 ถ้วยกาแฟขนาดใหญ่
เนื้อสัตว์ หัวใจ เนื้อวัว กระเพาะวัวส่วนต้น (Pansen) 300-500 กรัม แล้วแต่สภาพการใช้งานสุนัข หรือ อายุ
คอไก่ 500 กรัม
คอไก่งวง 500 กรัม
-หมาย เหตุจากผู้แปล: ผู้แปลต้องการแปลให้ตรงตามต้นฉบับให้มากที่สุดเพื่อแสดงความเคารพต่อผู้ เขียน อาหารใดที่ไม่มีในประเทศไทยขอให้ ท่านผู้อ่านใช้วิจารณญาณในการจัดเตรียมอาหารให้สุนัขของท่าน
- เอกสารอ้างอิงภาษาเยอรมัน
1. Hilfe, mein Hund ist unerziehbar โดย Vera Biber
2. Hundezucht naturgemäß mit Liebe und Verstand โดย Ilse Sieber &
Erich H.W. Aldington
3. Mein Hund, Natürlich Gesund โดย Silvia Dierauer
4. Unabhängiger Ratgeber zur Förderung der Gesundheit Ihres Hundes mit dem Schwerpunkt Ernährung สั่งได้จาก http://www.meinhund.ch
- เอกสารอ้างอิงภาษาอังกฤษ
1. The Complete Herbal Hand-book for the Dog and Cat โดย Juliette de Bairacli Levy
2. The Holistic Guide for a Healthy Dog โดย Wendy Volhard & Kerry Brown
3. Raw Meat Bone โดย Dr. Tom Lonsdale
4. Natural Nutrition for Dogs and Cats – The Ultimate Diet โดย Kymythy Schultze
5. Give Your Dog A Bone โดย Dr. Ian Billinghurst
- Internet: ภาษาเยอรมัน
http://www.barfers.de – BARF und Naturheilpraktik f r Hunde
http://www.surf.agri.ch/dierauer – Homepage von Silvia Dierauer - BARF und Bouviers
http://de.groups.yahoo.com/group/D-BARF- offene BARF-E-Grouppe
http://www.gesundehunde.com/ – Forum zum Austausch uber Ernarung und Naturheilpraktik fur Hunde
- Internet: ภาษาอังกฤษ
http://www.barfers.com –
Leave a Comment